“สทน.” ชวนประกวดหนังสั้น “TINT SHORT FILM PROJECT”


ในหัวข้อ “Nuclear for Better Life” ชิงเงินรางวัลกว่า 310,000 บาท

สร้างความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีนิวเคลียร์

สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดโครงการประกวดหนังสั้น TINT SHORT FILM PROJECT ภายใต้หัวข้อ “Nuclear for Better Life” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 310,000 บาท เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึง 23 พฤศจิกายน 2561 นี้

นายวราวุธ ขจรฤทธิ์ ผู้จัดการศูนย์ฉายรังสี สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. เผยว่า สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดโครงการประกวดหนังสั้น TINT SHORT FILM PROJECT ภายใต้หัวข้อ “Nuclear for Better Life” โดยมีเป้าหมายเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญ และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ถึงประโยชน์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ รวมถึงการสร้างความเชื่อถือและความมั่นใจของประชาชนต่อพันธกิจของสถาบันฯ อันจะนำไปสู่การพัฒนาการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในประเทศอย่างยั่งยืน


โดยโครงการประกวดหนังสั้นฯ ครั้งนี้เกิดจากเพราะปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกได้หันมาให้ความสนใจการศึกษาและพัฒนาการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับโลกมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่พลังงานนิวเคลียร์ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ อุตสาหกรรม และการเกษตร ด้วยเหตุนี้การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง การสื่อสารข้อมูลข่าวสารทางบวกของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินกิจกรรมของสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ห่งชาติ (องค์การมหาชน) เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของเทคโนโลยีนิวเคลียร์แก่ประชาชน


โครงการประกวดหนังสั้นฯ ดังกล่าว เปิดรับสมัคร 2 ประเภท ได้แก่ รุ่นเล็ก (ระดับมัธยมศึกษา) อายุไม่เกิน 18 ปี ซึ่งกำลังศึกษาไม่เกินระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า สมัครได้ทั้งเดี่ยวและทีมๆ ละไม่เกิน 4 คน รางวัลชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัลสูงสุด 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและประกาศนียบัตร และรางวัลชมเชย เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร มี 3 รางวัล และรุ่นใหญ่ (ระดับอุดมศึกษาขึ้นไป) อายุ 19 ปีขึ้นไป ซึ่งกำลังศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าขึ้นไป สมัครได้ทั้งเดี่ยวและทีมๆ ละไม่เกิน 3 คน รางวัลชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัลสูงสุด 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและประกาศนียบัตร และรางวัลชมเชย เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร มี 5 รางวัล โดยโครงการประกวดหนังสั้นฯ ได้ผ่านการพิจารณาตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จาก สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน), คุณบัณฑิต ทองดี และม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล


หนังสั้นที่ได้รับรางวัล สทน. จะนำไปเผยแพร่สู่ประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ ที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญ สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ถึงประโยชน์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถส่ง Plot หนังสั้นความยาว 3-5 นาที มาได้ที่อีเมลล์ tintshortfilm@gmail.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) www.tint.or.th หรือ www.facebook.com/thainuclearclub


Share:

KTBGS จัดกิจกรรม สานต่อนโยบายคุณธรรมนำความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “บวร” ณ วัดครึ่งใต้ จังหวัดเชียงราย



กรุงไทยธุรกิจบริการ (KTBGS) จัดกิจกรรมซีเอสอาร์(CSR)รับปลายปี สานต่อนโยบายคุณธรรมนำความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “บวร” ณ วัดครึ่งใต้ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

บริษัท รักษาความปลอดภัย กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด หรือ KTBGS เป็นบริษัทในกลุ่มของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย (KTB) บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับ กิจกรรม ซีเอสอาร์ ที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลา 21 ปี บริษัทฯ ได้ดำเนินนโยบายภายใต้ Corporate theme คือ “ห่วงใยใส่ใจคุณ” ซึ่งคำว่า “คุณ” ในที่นี้หมายถึง ลูกค้า / พนักงาน / ผู้ถือหุ้น และตลอดจนสังคม พร้อมยึดหลักธรรมาธิบาลในการบริหารองค์กร ซึ่งมุ่งหวังให้องค์กรเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของพนักงานทุกคน

บริษัทได้ใช้แนวทางการดำเนินตามโครงการพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเป็นที่ตั้ง KTBGS จึงได้เริ่มโครงการกฐินพระราชทาน CSR ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2558 ให้กับโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ป่าแขมวิทยา จ.พะเยา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ที่สามารถช่วยพัฒนา ศาสนา สังคม และการศึกษาได้อย่างยั่งยืน


สำหรับในปีนี้ภายใต้นโยบายของบริษัทคือ “คุณธรรมนำความยั่งยืน” ยังได้สานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องมุ่งเน้นมิติด้านการศึกษา ศาสนา และสังคม โดยเราเชื่อว่าทั้ง 3 มิติ มีความเชื่อมโยง ต่อกัน และเป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืนให้กับองค์กร สังคมและประเทศชาติ บริษัทจึงได้สานต่อกิจกรรมนี้ขึ้นอีกครั้ง โดยมีพื้นที่เป้าหมายอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัท และ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ในชื่อโครงการ “KTBGS Empower Social Sustainability” ภายใต้แนวคิด “บวร” เน้นความเชื่อมโยงระหว่าง บ้าน วัด และโรงเรียน

ทั้งนี้จุดเริ่มต้นก็คือนโยบายของบริษัท ที่ต้องการมุ่งเน้นมิติด้านการศึกษา ศาสนา และสังคม ให้มีความต่อเนื่องกัน อีกทั้งเล็งเห็นว่า พื้นฐานสำคัญที่จะทำให้คนในชุมชน มีรากฐานที่แข็งแรงและเป็นกำลังให้กับชุมชนได้ ก็จะต้องมาจาก วัดซึ่งเป็นศูนย์รวมด้านศาสนา ส่งต่อไปถึงโรงเรียนเพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับชุมชน ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกันเป็นระบบลูกโซ่หมุนเวียน โดยกิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นการมอบรถตู้ของทางบริษัท ที่ปลดระวางการใช้งาน แต่ยังสามารถใช้งานได้มามอบให้กับทางวัด เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้งานต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งพระสงฆ์ สามเณร ตลอดจนคนในชุมชน หรือเป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง เพื่อที่ชุมชนจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ต่อไป โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินกิจกรรมหลัก ๆ แบ่งออกเป็น

กิจกรรม CSR ภายนอกองค์กร

• การดำเนินตามโครงการพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีด้วยการสนับสนุนการสร้างอาคารเรียนให้กับสามเณร โรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ป่าแขมวิทยา จ.พะเยา ซึ่งเป็นโรงเรียนศูนย์กลางสำหรับสามเณรในเขตพื้นที่รอยต่อระหว่าง จ.พะเยา และ จ.น่าน ตั้งแต่ปี 2558 และต่อมาในปี 2559 บริษัทได้สนับสนุนอุปกรณ์การศึกษาเครื่องคอมพิวเตอร์ห้องวิทยาศาสตร์ และอุปกรณ์ศิลปะตลอดจนทุนการศึกษาให้กับสามเณร เนื่องจากสามเณรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาและมีฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน ในปี 2560 บริษัทได้จัดกิจกรรมผ้าป่าสามัคคีเพื่อการศึกษาโดยระดมทุนเพื่อใช้ในการบำรุงรักษาอุปกรณ์การเรียนตลอดจนทุนการศึกษาให้สามเณรอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมอบรถตู้เพื่อใช้ในการรับส่งสามเณรและรถกระบะเพื่อใช้ในการกู้ชีพและกู้ภัยให้กับชุมชนในวัดศรีเมืองมาง จ.พะเยา
• ร่วมพิธีสมโภชองค์กฐินและพิธีถวายผ้ากฐิน ณ วัดครึ่งใต้ จ.เชียงราย เพื่อนำรายได้สร้าง "ห้องพักผู้ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน" ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน อ.เมือง จ.เชียงราย (ก่อตั้งโดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี) ในปี 2559
• ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือช่วยเหลือคนพิการให้มีอาชีพด้วยการจ้างคนพิการ ณ สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย จำนวน 81 คน ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยให้ผู้พิการมีงานทำและเห็นคุณค่าในตัวเอง โดยการทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ให้แก่บริษัท
• จัดโครงการร่วมกับสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย สนับสนุนและส่งเสริมให้กลุ่มคนพิการได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ร่วมกิจกรรมประกวดวาดภาพระบายสี     ชิงเงินรางวัล 70,000 บาท ในปี 2559
• สนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนปากพลีวิทยาคาร จ. นครนายก ซึ่งอยู่ในโครงการกรุงไทยสานฝันโรงเรียนดีใกล้บ้าน ในปี 2560 และมอบรถตู้เพื่อใช้ในการรับส่งนักเรียนในปี 2561
กิจกรรม CSR ภายในองค์กร
• มอบทุนการศึกษาแก่บุตรของพนักงานที่มีผลการเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์เป็นจำนวนกว่า 689 ทุนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน
• การจัดกิจกรรม Kids Camp เพื่อเปิดโอกาสให้กับกลุ่มบุตรหลานบุคลากรทุกระดับได้มีโอกาสเรียนรู้ตนเองด้วยการส่งเสริมการสร้างทักษะทางสังคม และการทำกิจกรรมการส่งต่อความดี เพื่อเป็นการปลูกฝังความกล้าหาญ การแสดงออกและวิธีคิดของการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยยึดหลักความซื่อสัตย์และมีน้ำใจ
• โครงการเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่มพนักงานเตรียมเกษียณที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมให้เกษียณอย่างมีความสุข ที่ผ่านมา ได้ทำกิจกรรมเรียนรู้ด้านการเงิน ด้านสุขภาพ ฝึกสอนอาชีพทางเลือกเมื่อถึงวัยเกษียณ รวมทั้งศึกษาดูงานที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง บ้านสารภี จ.สมุทรสงคราม ซึ่งผู้ก่อตั้ง ได้แนวคิดจากการน้อมนำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในการดำรงชีวิต
• โครงการ Happy Money ให้ความรู้แก่พนักงานในเรื่องของการเงินส่วนบุคคล รวมทั้งให้ความรู้ด้านการลงทุนและสร้างรายได้เพิ่ม หากเป็นหนี้บริษัทก็มีพี่เลี้ยงทางการเงินที่คอยให้คำแนะนำวิธีลดภาระหนี้สิน
​ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับรางวัล “สถานประกอบกิจการดีเด่น” 12 ปีซ้อน ติดต่อกัน (ปี 2550 – ปี 2561) ในด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสหภาพแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน แสดงถึงความมุ่งมั่น ที่จะสร้างสรรค์ ประโยชน์สุข       ต่อบุคลากร ครอบครัว Stakeholder รวมทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้พัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป ในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นอย่างมากในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ในตัวบุคลากรซึ่งนับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดให้เป็นคนดีมีคุณธรรม ไม่ทุจริต มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และองค์กร จากรุ่นสู่รุ่น ภายใต้นโยบาย “KTBGS คุณธรรมนำความยั่งยืน”


บริษัท รักษาความปลอดภัย กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด
เลขที่ 96/12 ซอยลาดพร้าว 106 (บุญอุดม 1) แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310
ส่วนสื่อสารและประชาสัมพันธ์องค์กร
โทรศัพท์: 0-2791-4615 / โทรสาร: 0-2935-3711/ Website: http://www.ktbgs.co.th/
Share:

วสท.ขานรับนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรม

เดินหน้าจัดงาน 'วิศวกรรมแห่งชาติ 2561' มุ่งก้าวทันกระแสโลก สู่ความเป็นผู้นำแห่งอาเซียน


เตรียมเขย่าวงการนวัตกรรมกันอีกครั้งในงาน “วิศวกรรมแห่งชาติ 2561” (National Engineering 2018) งานสัมมนาวิชาการด้านวิศวกรรมและงานแสดงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีนวัตกรรรมวิศวกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย โดยล่าสุด เพิ่งเสร็จสิ้นจากงานแถลงข่าวประกาศความพร้อมเดินหน้าจัดงาน พร้อมเปิดเวทีเสวนาหัวข้อ “Smart Home บ้านอัจฉริยะ เพื่อบ้านที่ทันสมัย และอยู่สบาย” เรียกน้ำย่อย และผนึกกำลังผู้ร่วมแสดงสินค้าเทคโนโลยีวิศวกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน นำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมหลากหลายแวดวงสาขาอาชีพมาจัดแสดงอย่างครบครัน และเนื่องจากในปี 2561 นี้ เป็นปีที่วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ครบรอบ 75 ปี จะมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้แนวคิด “Engineering for Society” Smart Engineering, Smart Life, Smart Nation - วิศวกรรมอัจฉริยะ เพื่อชีวิตทันสมัย สู่ประเทศไทยแห่งอนาคต” เพื่อร่วมปฏิรูปประเทศก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ และยกระดับสังคมสู่สมาร์ทไลฟ์ สมาร์ทเนชั่น อย่างยั่งยืน


ดร.ทศพร ศรีเอี่ยม ประธานการจัดงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2561 กล่าวว่า ท่ามกลางคลื่นยักษ์ดิจิตอลและเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงฉับพลัน (Disrupt) และสร้างโมเดลใหม่ๆ ของคนไทย ธุรกิจอุตสาหกรรมและประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมเรียนรู้การพัฒนาอย่างยั่งยืนในบริบทที่เชื่อมต่อกับโลก การจัดงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2561 (National Engineering 2018) ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการจัดต่อเนื่องมาทุก ๆ ปี และปีนี้ถือเป็นปีที่ 13แล้ว โดยเรามุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมงานได้มาเรียนรู้อัพเดทเทรนด์นวัตกรรมวิศวกรรมที่ก้าวหน้าของประเทศไทย และอัพเดทเทรนด์ด้านเทคโนโลยีวิศวกรรมของโลก นอกจากนี้ ยังต้องการให้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยน ตลอดจนพัฒนามาตรฐานวิศวกรรมของวิศวกรไทยและอาเซียนให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล โดยงานในปีนี้  ได้รวบรวมผู้ร่วมแสดงสินค้าเทคโนโลยีวิศวกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 100 ราย นำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมหลากหลายแวดวงสาขาอาชีพมาจัดแสดงอย่างครบครัน ซึ่งจะสามารถช่วยสะท้อนให้เห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์มนุษย์ในปัจจุบัน และเรียนรู้การพัฒนาเพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพทางสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต



โดยภายในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2561 ครั้งนี้ เราได้แบ่งโซนการจัดงานออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่

1) โซนสัมมนาวิชาการ โดยรวมรวบหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจไว้กว่า 80 หัวข้อ เกี่ยวกับความก้าวล้ำของวงการวิชาชีพวิศวกรรมในการเป็นฟันเฟืองสนับสนุนการปฏิรูปประเทศสู่ New S-Curve ของรัฐบาล และยังมีเวทีเสวนาระดับนานาชาติ (International Forum) ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อัพเดทเทรนด์วิศวกรรมจากผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรทั่วโลกมารวมไว้ในงานเดียว โดยมีไฮไลท์สำคัญ คือ การปาฐกถาพิเศษจากรัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวง ได้แก่หัวข้อดังนี้

-  ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “Industry Transformation Thailand 4.0” โดย ดร.สมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561 เวลา 09.00-10.00 น.

-  ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์คมนาคม ยุทธศาสตร์สร้างชาติ” (Transforming Transportation)  โดย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561 เวลา 13.00-14.00 น.

-  ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “Digital Transformation ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ” โดย นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัช-ตะพงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เวลา 09.00-10.00 น.



นอกจากนี้ยังมีการจัดเวทีเสวนาเรื่องมาตรฐานระบบรางที่เกี่ยวข้องโครงการรถไฟความเร็วสูง การบรรยายพิเศษหัวข้อต่าง ๆ อาทิ โครงการ EEC, Transportation, มาตรฐานด้านวิศวกรรมใหม่ๆ Education, Innovation ตลอดจนมีเวทีเสวนาความรู้ทางด้านเทคโนโลยีวิศวกรรมในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ที่มาสามารถนำไปประยุกต์ใช้หรือต่อยอดสร้างธุรกิจในอนาคต อาทิ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต (EV Car) การใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การเลือกใช้แบตเตอรี่รถยนต์ให้เหมาะสมในอนาคต การเลือกใช้หุ่นยนต์เพื่อใช้ในการทดแรงงานในภาคอุตสาหกรรม การออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (DATA Center and CLOUD Technology) การตรวจสอบอาคารให้ปลอดภัย เป็นต้น

2) โซนกิจกรรมการแข่งขันเทคโนโลยีวิศวกรรม อาทิ การแข่งขันหุ่นยนต์ต่อสู้ 2018 (Battle Robot Warrior), การแข่งขันอากาศยานไร้คนขับ กรณีดับเพลิง (Drone for Firefighting) เป็นต้น

3) โซนคลินิกช่าง บริการให้คำปรึกษา “ฟรี” ปัญหาเรื่องบ้าน บ้านทรุด บ้านร้าว และปัญหาทางวิศวกรรมต่าง ๆ โดยวิศวกรอาสาผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขากว่า 150 คน จากวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ



4) โซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีวิศวกรรม

 “ไฮไลท์สำคัญของงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2561 ในครั้งนี้ นอกจากที่ท่านจะได้รับทราบถึงนโยบายที่สำคัญของทางรัฐบาลเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เข้าใจตรงกันว่าควรจะดำเนินไปในทิศทางใด วิศวกร นักอุตสาหกรรม และนักธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวอย่างไรบ้าง ท่านยังจะได้รับทราบว่ายังมีมาตรฐานใดบ้างที่มีความสำคัญ และมีความเกี่ยวเนื่องกัน รวมไปถึงยังได้รับทราบถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ภาคธุรกิจจะต้องเรียนรู้และนำไปปรับใช้เพื่อให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศ  เช่น การจัดเวทีเสวนาเรื่องมาตรฐานระบบรางที่เกี่ยวข้องโครงการรถไฟความเร็วสูง, การจัดเวทีเสวนา และการจัดแสดงเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Big Data และ IoT ว่าจะมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของทุกคนในอนาคตอย่างไร, การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีไปสู่ยุคอุตสาหกรรมอัจฉริยะ รวมไปถึงนิทรรศการพิเศษ “ปฏิบัติการด้านวิศวกรรมถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย” ที่เราได้จำลองบรรยากาศภายในถ้ำหลวงฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่างานด้านวิศวกรรมได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจครั้งสำคัญนี้อย่างไรบ้าง” ดร.ทศพรกล่าว



ด้านนายศรัณย์พงศ์ อาชว์สุนทร ผู้ช่วยผู้ว่าการ วางแผนและพัฒนาระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) กล่าวภายในงานเสวนาหัวข้อ “Smart Home บ้านอัจฉริยะ เพื่อบ้านที่ทันสมัย และอยู่สบาย”ว่า ในยุคที่นวัตกรรมเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุก ๆ ด้าน การเปลี่ยนบ้านธรรมดาให้เป็นบ้านอัจฉริยะ หรือSmart Home ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิตอลและการสื่อสารมาควบคุมระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ผ่าน Smart Devices ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานภายในบ้านลงได้ โดย PEA ได้คิดค้น และพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่เรียกว่า “PEA Hive Platform” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระบบบริหารและจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะสำหรับบ้านพักอาศัย เพื่อเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการบริหารจัดการการใช้พลังงานภายในบ้านพักอาศัยและอาคารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


โดยผู้อยู่อาศัยในบ้านอัจฉริยะนี้ จะสามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในบ้าน ตลอดจนเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าจากระบบของการไฟฟ้าหรือแหล่งพลังงานทางเลือก เช่น โซลาร์รูฟท็อป ผ่าน Mobile Application โดย PEA Hive Platform จะทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานร่วมกัน เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นลง และตอบสนองต่อสภาวะวิกฤติด้านพลังงาน ทั้งนี้ เจ้าของบ้านยังสามารถเลือกอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากหลากหลายยี่ห้อ และผู้ผลิตได้อีกด้วย และนอกจากนั้น Hive Platform ยังตอบโจทย์ความเป็นไลฟสไตล์ของแต่ละบุคคล ที่เรียกว่า Smart Mode โดยสามารถเลือกโหมดการใช้งานในรูปแบบของ Comfort Mode , Eco Mode , DR Mode และ Emergency Mode ได้เองอีกด้วย


นายวชิระชัย คูนำวัฒนา ผู้อำนวยการสำนักงาน Business Transformation และกรรมการผู้จัดการธุรกิจ Innovative Solution บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า สมาร์ทโฮม (Smart home) กันเสียก่อน หลายคนอาจจะคิดว่า สมาร์ทโฮม (Smart home)หมายถึง ตัวบ้านที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัย แต่จริง ๆ แล้ว สมาร์ทโฮม (Smart home) คือ ระบบบ้านอัจฉริยะ เป็นระบบการทำงานของระบบต่าง ๆ ทั้งภายนอก และภายในบ้านให้ถูกควบคุมเพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยการทำงานของซอฟต์แวร์ผสมกับอุปกรณ์เฉพาะของแต่ละยี่ห้อ แต่มีหัวใจเดียวกันคือการสร้างความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ช่วยประหยัดพลังงานด้วยนวัตกรรมผนังแบบใหม่ และส่งเสริมด้านสุขภาพของผู้อยู่อาศัย โดยสามารถควบคุมได้โดยการใช้สมาร์ทโฟนอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เทรนด์เทคโนโลยีที่มันเปลี่ยนไป แต่เป็นไลฟ์สไตล์ของคนเราที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) เมื่อก่อนเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเชื่อมต่ออุปกรณ์กับอุปกรณ์ให้สามารถคุยได้ แต่ต่อไปไม่ใช่แล้ว จะเปลี่ยนเป็นการเชื่อมต่อคนกับอุปกรณ์ เพื่อที่จะตอบสนองการใช้ชีวิตของคนเราได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้บริโภคสามารถมาอัพเดทเทรนด์เทคโนโลยีนวัตกรรมต่าง ๆ ได้ภายในงาน “วิศวกรรมแห่งชาติ 2561”


เตรียมสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของงาน “วิศวกรรมแห่งชาติ 2561” (National Engineering 2018) งานสัมมนาวิชาการ และแสดงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีนวัตกรรรมวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทย ในวันที่  1 - 3 พฤศจิกายน 2561 ณ  ฮอลล์ 9 อิมแพค ฟอรั่ม ฮอลล์ 9 เมืองทองธานี 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nationalengineering18.com หรือ facebook.com/NationalEngineeringByEIT

Share:

อาหารแมวโปรตีนสูงเกรดพรีเมี่ยมใหม่ “ลาร่า” (Lara) นำเข้าจากเบลเยี่ยม


คุณภมรชัย อภิชาติประคัลภ์  กรรมการผู้จัดการ หจก.ภมรชัย ซัพพลาย ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์นานาชนิด พร้อมด้วย คุณวชิราพร อภิชาติประคัลภ์ ผู้จัดการฝ่ายขาย หจก.ภมรชัย ซัพพลาย, คุณโฟล์ค-กำพลศักดิ์ สัสดี และสหายสี่ขาจอมแก่น “หนูแว่น” ขอเอาใจทาสแมวที่รักและอยากเห็นสุขภาพดีของเหล่าเจ้านาย เปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารแมวโปรตีนสูงใหม่ล่าสุด ภายใต้แบรนด์ ลาร่า (Lara) อาหารแมวเกรดพรีเมี่ยม นำเข้าจากประเทศเบลเยี่ยม ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารระดับ 5ดาว อุดมไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสมสำหรับแมวแต่ละช่วงวัยและช่วงกิจกรรม


โดยลาร่าได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและออกแบบเม็ดอาหารเป็นพิเศษ เพื่อคงความหอมอร่อย กรุบกรอบ เคี้ยวง่าย มีวางจำหน่ายแล้ว 5 สูตรใหม่ ได้แก่ สูตรลูกแมว (Junior) ที่มีโปรตีนสูงกว่า 36% คัดสรรวัตถุดิบจากเนื้อไก่เกรดเอที่ผ่านขบวนการย่อยให้โมเลกุลโปรตีนมีขนาดเล็กลง ลดความเสี่ยงการแพ้อาหารในลูกแมว  อีกทั้งยังให้แคลเซียมสูง ทอรีนสูง เพื่อส่งเสริมการเจริญเติญโตของร่างกายและการทำงานของกล้ามหัวใจ สมองและสายตา เหมาะสำหรับลูกแมวอายุต่ำกว่า 12 เดือน สูตรปลาแซลมอน (Salmon) ที่คัดสรรปลาแซลมอนจากยุโรป แหล่งโปรตีนชั้นดี อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และ 6 ที่ช่วยบำรุงขนให้ฟูนุ่ม เงางาม น่าสัมผัส อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ DHA จากปลาทะเลช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง สูตรไก่งวง(Turkey) คัดสรรเนื้อไก่งวงและเนื้อไก่สด ให้โปรตีนสูงถึง 32% ไร้มัน ไร้ผลพลอยได้ของสัตว์ปีก ไขมันต่ำ พร้อมทอรีนช่วยเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ บำรุงสมองและสายตา มีส่วนประกอบของใยอาหาร ฟรุคโตส โอลิโก ซัคคาไลด์ (FOS) ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบทางเดินอาหารให้มีประสิทธิภาพ สูตรอินดอร์ (Indoor) สำหรับแมวเลี้ยงในบ้านโดยเฉพาะ โดยเพิ่มส่วนผสมของหญ้ายัคคาที่ช่วยลดกลิ่นตัวและกลิ่นมูล อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูงเพื่อช่วยถ่ายก้อนขนในระบบทางเดินอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ


และพิเศษสุด สูตรสำหรับแมวทำหมัน (Sterilized) คัดสรรเนื้อไก่และเนื้อไก่งวงไร้มันที่ให้โปรตีนสูง แต่แคลอรี่ต่ำ และเพิ่มส่วนผสมของแอล-คาร์นิทีน เพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญพลังงาน จึงช่วยควบคุมน้ำหนักและป้องกันโรคอ้วนได้เป็นอย่างดี โดยมีจำหน่ายแล้ววันนี้ ขนาด 350 กรัม ราคา 85 บาท และขนาด 2 กิโลกรัม ราคา 370 บาท ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร 0-2408-4229 หรือ Facebook: Laracatclub และ www.laracatclub.com
Share:

ไทยเบฟ สานต่อความสำเร็จ Big Project แห่งปี “River Festival 2018 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ครั้งที่ 4


คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวงาน “River Festival 2018 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย”  กับการสานต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ Big Project การท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมแห่งปี ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4  กับ เทศกาลวัฒนธรรมร่วมสมัยที่เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวทั้งทางบก และทางน้ำ สู่ชุมชน และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ทั้ง 9 ท่าน้ำ ที่จะจัดขึ้นพร้อมกัน 4 วัน 4 คืน ตลอดริมโค้งน้ำที่ยาวที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมี คุณกมลนัย ชัยเฉนียน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ  จำกัด (มหาชน) ในนามประธานโครงการ “River Festival 2018” สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย พร้อมด้วย หน่วยงานพันธมิตรทุกภาคส่วน ร่วมพิธีแถลงข่าว ณ ลานหน้าพระปรางค์  วัดอรุณราชวรรามราชวรมหาวิหาร

คุณกมลนัย ชัยเฉนียน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) 
เกี่ยวกับรายละเอียดงานนี้ คุณกมลนัย ชัยเฉนียน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)  ในนามประธานการจัดงาน “River Festival 2018 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย”  เผยว่า “บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้ริเริ่มการจัดงาน “River Festival  สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย”


เทศกาลวัฒนธรรมร่วมสมัย และมหกรรมลอยกระทงบนโค้งน้ำที่ยาวที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยาที่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปลายปี 2557 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ให้การสนับสนุนทั้งหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่นำโดย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา/ กระทรวงวัฒนธรรม/ กองทัพเรือ/ กรุงเทพมหานคร/ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย/ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร/ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร/ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร/ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร/ ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค /และเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ /ล้ง 1919 / กลุ่มโรงแรมริมแม่น้ำ /เรือด่วนเจ้าพระยา ร่วมด้วย PM CENTER  ผู้ให้การสนับสนุนหลักการจัดงานด้านแสง สี เสียง เป็นอย่างดียิ่งมาโดยตลอด รวมไปถึง พันธมิตรสื่อมวลชน และ ในปีนี้ยังได้ขยายความร่วมมือไปยัง ไอคอนสยาม อาณาจักรศูนย์การค้า แห่งใหม่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และอีกหลายภาคส่วนที่มาร่วมกันสานต่อแนวคิดของการสืบสาน เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของไทย พร้อมเดินหน้าสานต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันบอกเล่าความเป็นไทยไปทั่วโลก


เทศกาลสายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย ในปีนี้ จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4  ภายใต้แนวคิด   “สุข แสง ศิลป์” ที่สามารถเที่ยวชมได้ตั้งแต่เวลา 17.00-22.00 น. งานเดียวที่นักท่องเที่ยวจะได้สักการะไหว้พระทั้ง 4 วัด ในยามค่ำคืน และชมความงดงามของสายน้ำเจ้าพระยา สุขไปกับกิจกรรมสรรค์สุข สนุกไปกับแสงสี และอิ่มเอมไปกับมรดกศิลป์ทรงคุณค่า เชื่อมโยงวิถีแห่งศิลป์ วิถีแห่งวัฒนธรรมอันดีงาม ตลอดริมโค้งน้ำที่ยาวที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา และในปีนี้ ยังเพิ่มความพิเศษด้วยการเชื่อมโยงจุดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยของ Bangkok Art Biennale 2018 ที่จะยิ่งทำให้นักท่องเที่ยว ที่มาเที่ยวชมในงานเทศกาลสายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย ได้อิ่มเอมไปกับวิถีแห่ง “สุข แสง ศิลป์” และตื่นเต้น ประทับใจไปกับชิ้นงานศิลปะ กว่า 200 ชิ้นงาน จาก 75 กลุ่มศิลปินชื่อดังระดับโลกที่นำมาจัดแสดงไว้ตามสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และ Landmark ของกรุงเทพมหานคร กว่า 20 แห่ง ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 อีกด้วย


ทั้งหมดนี้ ยังคงสะท้อน และถ่ายทอดให้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของไทย   โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อร่วมกัน เรียนรู้ ส่งเสริม  สืบสาน มรดก และวัฒนธรรมไทยสู่คนไทยและสากล  พร้อมเชื่อมต่อสายสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างชุมชน วัด โรงเรียน ให้เกิดการพัฒนา และเชื่อมโยงเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมสร้างชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน และยังเป็นการผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้โดดเด่นในเชิงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจ ที่คณะผู้จัดงานได้ร่วมกันสืบสาน ประเพณีอันดีงาม และวิถีชีวิตริมน้ำที่สะท้อนคุณค่าเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ที่จะเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติให้หลั่งไหลกันเข้ามาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของสายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย


 ต้องขอขอบคุณ พันธมิตรทุกภาคส่วนที่ร่วมกันสนับสนุนการจัดงาน “River Festival สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย”  ด้วยดีมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสื่อมวลชนที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งาน River Festival 2018 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย  ให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวาง          เพื่อร่วมกันบอกเล่าความเป็นไทย ให้ดังไกลไปทั่วโลก”

งาน “River Festival 2018 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ครั้งที่ 4 จะจัดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 21-24 พฤศจิกายน 2561 นี้ เรียกว่าเป็นงานเดียวที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติจะได้มาลอยกระทงในมุมใหม่บนโค้งน้ำเจ้าพระยาที่ยาวที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมโยงวิถีแห่งศิลป์ วิถีแห่งวัฒนธรรมอันดีงามของชุมชนริมสายน้ำเจ้าพระยา แต่ละพื้นที่จะมีกิจกรรมและการแสดง อาทิ นักท่องเที่ยวจะได้สักการะไหว้พระ ทั้ง 4 วัดในยามค่ำคืน และชมความงดงามของสายน้ำเจ้าพระยา ลอยประทีปบูชารอยพระพุทธบาทสร้าง สิริมงคล และทำการขอขมาพระแม่คงคา ร่วมชมศิลป์ร่วมสมัยจากชุมชนกับการประดับตกแต่งสถานที่ด้วยวัสดุจากชุมชน และการประดับไฟ พร้อมเพลิดเพลินอร่อยเด็ดไปกับร้านค้าชุมชนมากมาย


โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการจัดงานเพื่อเป็นการสร้างการเรียนรู้ ส่งเสริม และสืบสาน มรดกไทยสู่คนไทยและสากลโดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียน เพื่อเป็นการเพิ่มความผูกพันและการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจของคนในชุมชน และไม่ลืมที่จะสร้างความต่อเนื่อง อันนำไปสู่การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ทั้งหมดนี้ถือเป็นการสร้างโอกาสในการกระจายรายได้สู่ชุมชน สร้างชุมชนเข้มแข็งไปในตัว

นอกจากนี้ ยังคงสานต่อความสำเร็จของอีกสองโครงการใหญ่ ภายใต้การจัดงาน ‘River Festival 2018 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” คือ ‘คลีนคลอง’ และ ‘เยาวชนเจ้าบ้าน สืบสานวัฒนธรรม’ สำหรับโครงการ ‘คลีนคลอง’ ในปีนี้เราจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งได้มีการขยายพื้นที่การทำความสะอาด และปรับภูมิทัศน์ชุมชนไปยังวัด และสวนสาธารณะของชุมชน เรียกได้ว่าเป็นการร่วมกันฟื้นฟูทัศนียภาพของแม่น้ำลำคลองในช่วงหลังเทศกาลลอยกระทง ด้วยการกำจัดขยะภายในคูคลอง และบริเวณใกล้เคียง เพื่อสร้างภูมิทัศน์โดยรอบชุมชนให้สะอาด และมีความน่าอยู่อย่างยั่งยืน


โครงการ ‘เยาวชนเจ้าบ้าน สืบสานวัฒนธรรม’  ในปีนี้ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ปกครอง และเยาวชนในชุมชนเป็นจำนวนมากที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับโครงการ และความพิเศษในปีนี้คือต้องการเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษให้กับเยาวชนให้กล้าที่จะสื่อสาร มีการเล่าเรื่องให้สนุกน่าติดตาม และให้ความรู้เกี่ยวกับชิ้นงานศิลปะ BAB หรือ งานบางกอกอาร์ตเบียนนาเล่ เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ผ่านเยาวชนที่เป็นลูกหลานของชุมชนริมน้ำ ที่ถือเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มีความรัก ความหวงแหนวัฒนธรรรมวิถีชีวิตแบบไทย ที่ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งที่ได้เผยแพร่เรื่องราวดี ๆ  ของชุมชนตนเอง   จนก่อให้เกิดการท่องเที่ยวโดยชุมชนและความยั่งยืนอีกด้วย

ขอเชิญชวนร่วมสัมผัส และดื่มด่ำกับบรรยากาศแสงจันทร์ที่สวยงามริมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนกับมนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำ และประเพณีอันดีงาม ในงาน “River Festival  2018 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ตั้งแต่วันที่ 21-24 พฤศจิกายน 2561 นี้ ตั้งแต่เวลา 17.00-22.00 น. สอบถามหรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ http://www.riverfestivalthailand.com และ facebook/riverfestivalthailand


Share:

อธิบดี พช. นำคณะสื่อมวลชนสัญจร..สัมผัส OTOP Village 4 จังหวัดอันดามัน


4 จังหวัดอันดามันสตูล-ตรัง-กระบี่-ภูเก็ต..ไปแล้วจะรัก..

อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน "นิสิต จันทร์สมวงศ์” นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เยือนหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว  OTOP Village ในเส้นทางที่ 6 อันดามัน "สตูล ตรัง กระบี่ ภูเก็ต" หนึ่งใน 8 เส้นทาง เพื่อดึงดูดและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทาง  สัมผัสบรรยากาศท่องเที่ยววิถีชุมชน  เรื่องราวดีดีจากหมู่บ้าน OTOP ปากบารา บ่อเจ็ดลูก เสน่ห์พื้นถิ่น สมกับความเป็นอุทยานธรณีโลก เยือนบ้านพรุจูด-บ่อหินฟาร์มสเตย์ แวะบ้านหนังไหนแหล่งเที่ยวบริสุทธิ์ นั่งสามล้อชมจุดเครื่องบินแลนดิ้ง ไปดูการทำ"ส้มควาย"ที่บ้านหัวควน เชคอิน แชะ ชม ชิม ช้อป แชร์..ไป.แล้วจะ..รัก..

​ทั้งนี้ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและการเข้าถึงบริการของรัฐ เน้นการสร้างโอกาส อาชีพและการมีรายได้ที่มั่นคง  โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เกิดความเข้มแข็ง โดยการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยว 8 เส้นทาง 31 จังหวัด 125 หมู่บ้าน บนพื้นฐานของอัตลักษณ์และภูมิปัญญาพื้นถิ่น วัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมของชุมชน สู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวดึงดูดใจนักท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชนเพื่อสร้างรายได้สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน


นอกจากเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวให้กลุ่มเป้าหมายและประชาชนทั่วไปเกิดการรับรู้ รับทราบ เข้าใจ มีทัศนคติที่ดีและมีความเชื่อมั่นไว้วางใจในด้านภาพลักษณ์ของกรมการพัฒนาชุมชนและภาพลักษณ์การดำเนินงานโครงการฯจนนำไปสู่การเชื่อมโยงเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนหรือเกิดความร่วมมือกับองค์กรในการพัฒนาต่อยอดแล้ว ยังสนับสนุนและตอบโจทย์โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ที่มีกลไกการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับชาติสู่ระดับพื้นที่ มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบประชารัฐ โดยการวิเคราะห์ปัญหาความต้องการของประชาชน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ  สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนในชุมชน เสริมความแกร่งให้เศรษฐกิจฐานรากมั่นคง


นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชน ได้รับมอบหมายจากกระทรวงมหาดไทย ภายใต้การนำของ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้จัดทำโครงการหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว ตามเขตพัฒนาการท่องเที่ยว 8 เส้นทาง 31 จังหวัด 125 หมู่บ้าน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เกิดความเข้มแข็ง โดยใช้อัตลักษณ์ของท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าและคุณค่า ภายใต้การบูรณาการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนนั้นที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง สามารถส่งเสริมให้ชุมชนเกิดการตื่นตัวและเกิดการรวมพลังในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทรัพยากรของชุมชนให้มีคุณค่า ช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ โดยกรมการพัฒนาชุมชนได้ดำเนินการต่อยอดโครงการฯ ด้วยการจัดกิจกรรมสื่อมวลชนเยี่ยมชมหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว (Press Tour) เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ชุมชนเพื่อการเผยแพร่ไปยังสื่อต่างๆดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปยังหมู่บ้านโอทอปเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งได้นำร่องเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา ชุด OTOP Village..ไปแล้วจะรัก  สื่อแนวคิด “เที่ยว-หา-เรื่อง” โดยมี “เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ไปแล้ว

​โดยเส้นทางที่ 6  ระหว่างวันที่  24-26 ตุลาคม 2561  เป็นเส้นทาง อันดามัน"สตูล ตรัง กระบี่ ภูเก็ต"


วันที่ 24 ต.ค. ตั้งต้นกันที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา หนึ่งในพื้นที่อุทยานธรณีโลก ลงพื้นที่เยี่ยมชุมชนปากบารา ,บ่อเจ็ดลูก ต.ปากน้ำ อำเภอละงู  จ.สตูล  สำหรับหมู่เกาะเภตรา มีพื้นที่ 494.38 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมที่ดินป่าเกาะเภตรา เกาะเขาใหญ่  และหมู่เกาะใกล้เคียงนับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 49 ของประเทศไทย ชมสะพานข้ามกาลเวลา เชคอิน ณ จุดชมวิวปากบารา ที่ตั้งของท่าเรือท่องเที่ยว ชมกลุ่มหัตถศิลป์พื้นบ้านปากบารา ผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าวและสินค้าโอทอป  เยือนแหลมเต๊ะปันชมวิถีชาวประมงบ้านปากบารา ชมวิถีชีวิตดั้งเดิมสัมผัสวิถีการขุดหอย ทักทายปูทหาร ซึ่งที่นี่มีทั้งอาหารทะเลสดและแปรรูป ยังมีรังนกเกรดดี   มีอาหารพื้นเมือง เช่น แกงตูมิ ยำปลาหลังเขียว ปลายัดไส้ ฯ มีวัฒนธรรมพื้นถิ่น เช่น การร่ายรำการีกีปัส ระบำชาชัก


​ไปยังอ่าวโต๊ะบ๊ะ เกาะเขาใหญ่  ที่มีจุดชมวิวที่สวยที่สุด ชมแหล่งฟอสซิลได้ท้องทะเลในยุคออโดวิเชียนเมื่อสี่ร้อยล้านปี พร้อมกับรับประทานอาหารเที่ยงพื้นถิ่น อิ่มท้องแล้วค่อยล่องเรือคายัคถ้ำลอดพบรัก ,ถ้ำโล๊ะพางของโจรสลัด ระหว่างทางชมความงามของจันผาพันปี ชมประติมากรรมธรรมชาติสรรค์สร้างความมหัศจรรย์ของหินคล้ายปราสาทที่มียอดแหลมนับพัน หนึ่งในนั้นคือ ปราสาทหินพันยอด ที่ต้องพายเรือคายัคลอดผ่านช่องแคบเข้าไป ชมผาใช้หนี้ หินตาหินยายและสันหลังมังกร


​เยี่ยมบ้านบ่อเจ็ดลูก หรือที่ภาษามาลายูเรียกว่า “ลากาตูโยะ” มีตำนานเล่าว่าบุคคลกลุ่มแรกที่เข้าไปอาศัยอยู่เป็นพวกชาวเลหรือชาวน้ำที่อพยพมาจากเกาะซึ่งอยู่ห่างไกลออกจากฝั่งไปมาก เมื่ออพยพมาอยู่นั้น พวกเขาได้ขุดบ่อน้ำบ่อแล้วบ่อเล่าก็ไม่มีน้ำจนถึงบ่อที่ 7 ถึงจะมีน้ำออกมา ใช้เป็นน้ำดื่มน้ำใช้ โดยหลักฐานยังมีปรากฏถึงทุกวันนี้ จึงได้ชื่อว่า “บ้านบ่อเจ็ดลูก”

เชื่อว่าเมื่อใครได้มาเยือน GEOPARK  ปราสาทหินพันยอด พายเรือคายัค ชมถ้ำลอดพบรัก  อื่มอร่อยกับอาหารพื้นถิ่น จะประทับใจ และหลงรักไม่รู้ลืม......,



ขอบคุณข่าวจาก :: สถานีข่าว พช.CNS 

#โครงการไทยนิยมยั่งยืน   #กรมการพัฒนาชุมชน #otopvillageไปแล้วจะรัก #otopvillage #เน้นการมีส่วนร่วม #ลดความเหลื่อมล้ำ #เพิ่มรายได้กับประชาชนอย่างยั่งยืน #ท่องเที่ยว #วิถีไทย #วีถีชุมชน #ความสุข #สตูล
Share:

ทีเค พาเลซ ฯ จัดโปรโมชั่นเอาใจลูกค้า”ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 49


โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น  จัดโปรโมชั่นครั้งใหญ่  แพ็คเกจงานแต่งลด 10 %ห้องพักลดราคา 50 %  ในงาน ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 49 ระหว่างวันที่ 1-4 พ.ย.61 บูธ O09

โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น  ปรับปรุงใหม่ เอาใจลูกค้า ด้วยราคาพิเศษสุด สำหรับลูกค้าที่มองหาสถานที่จัดงานแต่งงานไม่ควรพลาด Grand Convention Building  อาคารจัดเลี้ยง  งานแต่งงาน
ในส่วนของห้องพัก ขณะนี้เปิดให้บริการทั้งหมด 280 ห้อง โดยแบ่งเป็น Standard, Superior, Deluxe   ในส่วนห้องจัดงานเลี้ยง สามารถ รับลูกค้าตั้งแต่กลุ่มเล็ก 30 คนขึ้นไป จนถึงกลุ่มใหญ่กว่า 800 คน  มีกว่า 20 ห้อง




ทั้งนี้ การปรับปรุง เพิ่มอาคาร รองรับการเติบโต ตามความต้องการของลูกค้า ด้วยงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งอาคารจัดงานเลี้ยง อาคารห้องพัก 100 ห้อง รองรับการจัดงานทุกรูปแบบ ห้องพักที่มีถึง 380 ห้อง พร้อมเปิดต้อนรับลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบในต้นปี 2562 ในส่วนของที่จอดรถ โรงแรมมีพื้นที่กว้างกวาง ทั้งในอาคารและลานจอดรถกลางแจ้ง  รองรับได้เกือบ 500 คัน
 พิเศษสุด สำหรับงานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 49 แพ็คเกจงานแต่งราคาพิเศษ จองในงานรับส่วนลดทันที 10 %  ห้องพักมีโปรโมชั่น 2 แบบ คือ  Deluxe และ Superior ลดถึง 50 %

พบกับโปรโมชั่นห้องพัก แพ็คเกจงานแต่ง ได้ที่ งานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 49 ระหว่างวันที่ 1-4 พฤศจิกายน 2561 บูธ O09

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2574 1588, www.tkpalace.com,www.facebook.com /TKPALACEHOTEL




Share:

เยือนหมู่บ้าน OTOP จังหวัดระนอง "แล้วคุณจะ..รัก..เขา"


ภาคต่อของวันที่สอง ของโครงการ กิจกรรมสื่อมวลชนเยี่ยมชม หมู่บ้าน OTOP  เพื่อการท่องเที่ยว (ฝั่งทะเลตะวันตก)  เพชรบุรี-ชุมพร-ระนอง" เมื่อวันที่ 20-21 ตุลาคม 2561   ตามโครงการหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว (OTOP Village )   วันนี้เราไปเยือนจังหวัดระนองกันค่ะ ตามกันมาเลย!!

หมู่บ้านหาดส้มแป้น จังหวัดระนอง

หาดไร้เงา ขุนเขานมสาว ดินขาวมากมาย
พ่อท่านคล้ายศักดิ์สิทธิ์ แดนเนรมิตระนองแคนยอน..



เช้าของวันที่สอง  เดินทางออกจากโรงแรมที่พัก มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านหาดส้มแป้น จังหวัดระนอง  หาดไร้เงา ขุนเขานมสาว ดินขาวมากมายพ่อท่านคล้ายศักดิ์สิทธิ์ แดนเนรมิตระนองแคนยอน...คือนิยามของที่นี่ จะเป็นจริงดั่งว่าหรือไม่ ต้องตามไปดู ..ซึ่งหลังชื่นใจกับการแสดงต้อนรับและ welcome drink  น้ำส้มเกร่า หรือน้ำของผลส้มจี๊ด ที่จะอุดมไปด้วย วิตามินเอ ซี และกรดอินทรีย์หลายชนิดสำหรับผู้ที่ไอและมีเสมหะให้นำน้ำที่คั้นได้มาผสมกับเกลือเล็กน้อยจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ ,การต้อนรับด้วยการแสดงอัตลักษณ์ชุมชน  กิจกรรมร่อนแร่ แหล่งแร่สำคัญของจังหวัดระนองโดยเฉพาะแร่ดีบุก ใช้เลียงเป็นอุปกรณ์ในการร่อนแร่ชมศูนย์เซรามิกดูการสาธิตเซรามิก ที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นไทย สะท้อนวิถีชุมชน และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทนไฟสูง มีอายุการใช้งานยาวนาน








สำหรับบ้านหาดส้มแป้น มีดินขาวอยู่มาก ซึ่งเดิมที่ตำบลนี้มีการการทำเหมืองแร่ดีบุก และในระหว่างที่มีการฉีดเหมืองเพื่อนำแร่ดีบุกขึ้นมาใช้จึงพบดินขาว ซึ่งผลการวิจัยพบว่าเป็นดินขาวที่ดีที่สุดในประเทศไทย เมื่อแร่ดีบุกราคาตกต่ำจึงได้มีการวิจัยอย่างจริงจัง จึงเริ่มหันมาทำเหมืองดินขาวนำออกขาย มีการสัมปทานเหมืองดินขาวต่อกันมาถึง 3 รุ่นรวมอายุประมาณ 100 กว่าปี ปัจจุบันมีการทำเหมืองดินขาวอย่างแพร่หลายในตำบลหาดส้มแป้นนี้  เมื่อมาใช้ทำผลิตภัณ์จะทนไฟสูง มีอายุการใช้งานยาวนาน ผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์ของความเป็นไทย สะท้อนวิถีชุมชน







เราได้ประจักษ์ว่า หมู่บ้านหาดส้มแป้น ตำบลเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขา มีภูเขานมสาวล้อมรอบแห่งนี้ เพี้ยนมาจากคำว่า “ห้วยซัมเปียน” ในภาษาจีน ซึงแปลว่า “ลึกเข้าไปในหุบเขา” เดิมเป็นพื้นที่ป่ารกทึบ บรรพบุรุษจีนในสมัยนั้น ได้ตามสายแร่มาจนถึงพื้นที่แห่งนี้ และเรียกว่า "ห้วยชานเปียน" หรือ "ห้วยซัมปา" ก่อนที่คำจะเพี้ยนมาเป็น"หาดส้มแป้น"
ในปัจจุบัน  ตำบลหาดส้มแป้น อยู่ห่างจากอำเภอเมืองระนองประมาณ 8 กม. เข้าทางถนนเพชรเกษมผ่านสวนสาธารณะรักษะวาริน (บ่อน้ำร้อน)  เป็นหมู่บ้านชนบทที่แวดล้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติหลายหลาก  ประชาชนตั้งรกรากจากการทำเหมืองแร่ในอดีตและได้น้อมนำแนวชพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ใช้เป็นวิถีทางในการดำรงชีวิตตนเอง




ต่อกันที่ บ้านหงาว...ระนอง น่ะ รับรองไม่มี...เหงา...

กิจกรรมที่นี่ เข้าวัดบ้านหงาว  สักการะพระพุทธรูปดีบุก ชมสินค้าท้องถิ่น  ชมระบำร่อนแร่ + ระบำบ้านหงาว ที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของบ้านหงาว






เยือนป่าชายเลนหมู่เกาะระนอง และร่วมปลูกป่าด้วย และรับรองว่า เราอดใจไม่ไหวที่จะต้องช้อป เม็ดมะม่วงหิมพานต์หรือภาษาถิ่นเรียกกาหยู สินค้าท้องถิ่นของชุมชนที่นำรายเพิ่มมูลค่าเป็นกอบเป็นกำให้ชาวบ้าน เช่นกัน"หงาว"เป็นอีกชื่อที่เพี้ยนมาจากภาษาจีน อีกเช่่นกัน มาจากชื่อของวัวป่า ซึ่งชาวจีนเรียกวัวป่าว่า "โหงว" เนื่องจากตำบลหงาวแต่โบราณ เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีสัตว์ ประเภทกินหญ้าอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะวัวป่า เมื่อครั้งคอซูเจียง (ต่อมาเป็นพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี) เข้ามาบุกเบิกทำเหมืองแร่ทีนี่จึงเรียกที่นี่ว่า "ทุ่งโหงว" หรือ ทุ่งวัวป่า ต่อมาเพี้ยนเป็น "ทุ่งหงาว" โดยเริ่มมีคนเจ้ามาอยู่อาศัยมากขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454  เนื่องจากบริษัท ไซมิสทินซินติเกรต  ได้เข้ามาขอสัมปทานบัตรขุดหาแร่ดีบุก  ต่อเรือขุดแร่ขึ้น  3  ลำพร้อมกัน  จึงต้องใช้คนงานจำนวนมาก  ทั้งคนงานของบริษัท และคนงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง   เช่น คนตัดฟืนขายให้บริษัททำเชื้อเพลิงสำหรับเรือขุดแร่  รวมกว่าพันคน เมื่อรวมถึงครอบครัวคนงานและพ่อค้าแม่ค้าจึงเกิดเป็นชุมชนใหญ่  จึงได้รับการยกฐานะเป็นตำบล  เรียกว่า  "ตำบลหงาว"




ต่อมาพื้นที่บางส่วนของตำบลหงาวที่เป็นย่านชุมชนหนาแน่นหรือย่านเศรษฐกิจของตำบลหงาว  ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย ณ  วันที่  1  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2516  จัดตั้งเป็นสุขาภิบาลหงาว  อำเภอเมืองระนอง  จังหวัดระนอง  ต่อมามีพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542  มีผลทำให้สุขาภิบาลทั่วประเทศเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นเทศบาลตำบล  ตั้งแต่วันที่  25  พฤษภาคม พ.ศ. 2542  สุขาภิบาลหงาวจึงเปลี่ยนฐานะเป็นเทศบาลตำบลหงาวจนถึงปัจจุบัน






ส่วนวัดบ้านหงาว เป็นวัดดังของ จ.ระนอง  มีชื่อเสียงอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง  1. วังมัจฉา มีปลาจำนวนมากและขนาดใหญ่มากตั้งแต่ปลาบึก ปลาจาระเม็ดน้ำจืด ปลาดุกยักษ์  2. อุโบสถหลังใหม่ มีรายละเอียดการตกแต่งที่สวยงามมาก 3. พระพุทธรูปดีบุก เป็นพระพุทธรูปดีบุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ตั้งของวัดบ้านหงาวจะอยู่ใกล้กับภูเขาหญ้า และ อยู่ตรงข้ามกับน้ำตกหงาว


ฮัดช่า...ลิเกฮูลู..ทำเอาเราอยากพันเอวด้วยบาติก..แล้วแต่งกับหนุ่มชาวเล..

จุดสุดท้ายของสื่อมวลชนสัญจร ที่หลายคนไม่อยากจากมา  "หมู่บ้านทะเลนอกระนอง" กับการต้อนรับด้วย"ลิเกฮูลู"การละเล่นพื้นบ้านของชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ของไทยเป็นเพลงประกอบดนตรีและจังหวะตบมือ ต้องบอกว่าหาดูไม่ง่าย  ได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวเลและวิถีการทำประมง  ดูสาธิตการทำผ้าบาติก  และที่นี่มี Landmark ถ่ายภาพแสนงาม




หมู่บ้านทะเลนอกระนอง  เป็นหมู่บ้านริมชายหาดที่มีการจัดการท่องเที่ยวเชิงชุมชนอย่างเป็นระบบและน่าสนใจ โดยในอดีตบ้านทะเลนอกตั้งบ้านเรือนอยู่สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่บริเวณปากคลองติดกับทะเล และอีกกลุ่มอยู่บริเวณป่าโกงกางเหนือขึ้นมา


ครั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2547 บ้านบริเวณปากคลอง ถูกทำลายไปเสียสิ้น  ชาวบ้านจึงทำการฟื้นฟูหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ โดยเน้นการอนุรักษ์ป่าโกงกาง ป่าฝน และสัตว์น้ำ
ดังนั้นที่เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจสัมผัสกิจกรรมมากมาย กับวิถีชาวบ้านอย่างเต็มอิ่ม สัมผัสวิถีชีวิตตามจารีตประเพณีหมู่บ้านที่ล้อมรอบไปด้วยป่าชายเลน กับความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายแต่สะดวกสบาย มีโฮมสเตย์ชาวบ้าน จะได้นั่งเรือชมป่าโกงกาง พร้อมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นคอยบรรยายให้เราได้รู้จักพืชและสัตว์ต่างๆ  ได้เดินป่าศึกษาธรรมชาติ ในป่าฝนบนเนินเขาที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก พร้อมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นเช่นกัน

ชมการลากอวนชายหาด เมื่อแดดร่มลมตกในยามเย็นใกล้อาทิตย์ลับฟ้า ชาวบ้านจะพาเดินลงน้ำเพื่อไปช่วยกันลากอวนด้วย  เมื่อเดินถึงระดับที่น้ำอยู่ประมาณเอวหรืออก อวนจะถูกปล่อยลง ใช้เท้าในการตรึงอวนให้เป็นตาข่ายพร้อมกับเดินขึ้นมาชายหาดพร้อมปลาจำนวนมากมาย ปลาตัวใหญ่จะถูกเลือกไว้เพื่อทำอาหาร ขณะที่ตัวเล็กก็ปล่อยกลับลงทะเล จากนั้นจะได้ลิ้มรสอาหารทะเลปักษ์ใต้จากฝีมือหาปลาของตนเองอีกด้วย



จะมีกิจกรรมสาธิตและชมงานหัตถกรรมต่างๆ ของหมู่บ้าน ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ  มีอยู่สองกลุ่ม  คือ กลุ่มแม่บ้านทำสบู่ และกลุ่มทำบาติก เราสามารถเรียนรู้การทำสบู่ และการวาดภาพบาติกได้จากสมาชิกกลุ่มพร้อมนำผลงานตัวเองกลับบ้านเป็นที่ระลึก หากมีเวลามากพอที่นี่เหมาะอย่างยิ่งที่จะค้างคืน รอแสงแรกของพระอาทิตย์ ความสุขล้นปรี่แน่นอน


เวลาเพียง 1 คืน 2 วัน ที่เราใช้ไปกับการเดินทางเยือนชุมชน..อันเต็มไปด้วยอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา  วัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม สู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้และความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนสู่ชุมชน จนสามารถดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปรู้จักพวกเขา...

การเดินทางครั้งนี้ InsightoutStory ชอบรอยยิ้ม​ ความตั้งใจ​ ความสามัคคีในชุมชน...เราว่ามันคือความคุ้มค่ามาก กับการที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาเพื่อรู้จัก สัมผัสก่อนที่จะรักชุมชนเหล่านี้..เหมือนที่เราไปพบและ ”รัก” พวกเขามาแล้ว

ย้อนอ่าน กิจกรรมวันแรกที่ จังหวัดเพชรบุรี-ชุมพร  คลิ๊กด้านล่างได้เลยค่ะ



Editter :: Insightoutstory.com
ขอบคุณ :: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก