เมื่อวันที่ 6 กันยายน
2562 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรแก้ว (เภาวิเศษ) ใจงาม คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ
และแลกเปลี่ยนมุมมองทางด้านการศึกษากับ นายณัฐพล ทีปสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร. คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ณ กระทรวงศึกษาธิการ
ในฐานะนักการศึกษา โอกาสของการได้เข้าพบในครั้งนี้
จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุด เนื่องจากได้เห็นวิสัยทัศน์ นโยบาย
และความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาชาติของผู้นำกระทรวงเสมาทั้งสองท่าน
เป็นแนวความคิด และมุมมองทางด้านการศึกษาที่สัมพันธ์สอดคล้องตรงกัน
และเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากที่สุดในแง่ของ “การปฏิรูปห้องเรียน”
ทำให้มั่นใจได้ว่า การศึกษาชาติกำลังมีคนนำพาให้เดินไปอย่างถูกทางแล้ว
แนวคิดการปฏิรูปห้องเรียนดังกล่าว เป็นการพัฒนาคุณภาพผู้บริหารสถานศึกษาและครู
ให้สามารถส่งผ่านความรู้และทักษะใหม่ในการพัฒนาคุณภาพและสมรรถนะไปให้ถึงตัวผู้เรียนอย่างเท่าเทียมกัน
ทั้งนักเรียนปกติและนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ มุ่งส่งเสริมทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 อันได้แก่ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์
การคิดสังเคราะห์เชิงตรรกะที่เน้นความเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงความสามารถในการใช้ภาษาไทย
ภาษาต่างประเทศ และภาษา Coding โดยผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะเป็นผู้สนับสนุน
และกำกับดูแล ก็จะต้องได้รับการอบรมให้มีความรู้ความเข้าใจในวิชาการที่จำเป็นต่อการพัฒนาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่นี้เช่นเดียวกับครู
เพราะการศึกษา คือ เครื่องมือพื้นฐานของสังคมเครื่องมือเดียว ที่จะสามารถสร้างคุณภาพของคนในชาติให้ตอบโจทย์ประเทศไทยยุค
4.0 ได้ …เพราะ
“คน คือ ศูนย์กลางของการพัฒนา” ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ
ฯ
ทั้งนี้ นายณัฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวย้ำว่า
เจตนารมณ์และเป้าหมายของการเข้ามาทำงานในกระทรวงนี้ ก็เพื่อ “ปฏิรูปการเรียนรู้ในห้องเรียน และ...ปกป้อง
ดูแลความคุ้มค่าของการใช้จ่ายเม็ดเงินภาษีอากรของประชาชนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มประชากรที่ยังอยู่ในวัยเรียน
หรือในกลุ่มผู้สูงวัยก็ตาม โดยมีแนวคิดที่จะช่วยให้ประชากรผู้สูงวัยได้รับการพัฒนาจนสามารถดูแลตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่เป็นปิรามิดกลับหัว ที่ประชากรสูงวัยต้องเป็นภาระแบกรับของเด็กและเยาวชนรุ่นหลังมากจนเกินไป...โดยการดำเนินการทั้งหมดนี้
จะเน้นความประหยัด คุ้มค่า โปร่งใสและตรวจสอบได้...”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้สร้างความมั่นใจในการเป็นผู้นำที่จริงใจและจริงจังในการทำงานโดยไม่หวั่นเกรงต่ออิทธิพลใด
ๆ โดยกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เข้มและสายตาที่เป็นประกายแสดงความถึงมุ่งมั่นว่า
“...ผมไม่กลัว เสือ สิงห์ กระทิง แรด อะไรทั้งนั้น...ผมเป็นสิงโตที่ไม่เคยคิดที่จะเข้ามาแสวงหาประโยชน์อะไรจากที่นี่
ดังนั้น การทำงานของผม ทุกกิจกรรมทุกโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการทำ จะต้องมุ่งมองไปที่ประโยชน์ที่ลงถึงตัวผู้เรียนเท่านั้น...ผมให้ความสำคัญกับการพัฒนาครู...”
ในขณะที่ ดร.คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สุภาพสตรีผู้นำที่ดูจะไม่สนใจต่อคำค่อนขอดของสังคม
ว่ากำลังแนะนำวิธีการเรียนรู้แบบเต่าล้านปี โดยให้นักเรียนคิดเลขในใจตอนเช้า
ท่องสูตรคูณ และท่องอาขยานก่อนกลับบ้าน สร้างความงุนงงให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ในลักษณะที่สวนทางกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ในยุคอินเทอร์เน็ต
ที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการเรียนรู้ผ่านแพลทฟอร์มและเทคโนโลยีสมัยใหม่
จนอาจจะลืมคิดไปว่าจริง ๆ แล้ว มนุษย์เรียนรู้โดยการใช้สมอง
ด้วยความที่เป็นนักฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ คุณหญิงจึงเข้าใจการทำงานของสมองว่า
โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์จะเรียนรู้ผ่านการจดจำและลอกเลียนแบบเป็นเบื้องต้นก่อนเสมอ
และความรู้ที่เราร่ำเรียนนี้ หากไม่ผ่านการฝึกหัดทบทวนเป็นประจำแล้ว ข้อมูลความรู้เหล่านั้นก็จะถูกลืมเลือน
และสมองจะไม่สร้างเส้นใยประสาทขึ้นมารองรับให้เกิดเป็นความจำระยะยาว
แนวคิดและนโยบายการศึกษาของคุณหญิงที่สวนกระแส จึงเป็นการผสมผสานศาสตร์การเรียนรู้ที่เป็นคลาสสิกเทียรี่ตามทฤษฎีการเรียนรู้และการทำงานของสมองของเบนจามิน
บลูม (Bloom’s Taxonomy - Classic Theory) เข้ากับการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลในศตวรรษที่
21 ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมความเก่งและสร้างคุณภาพของเด็กไทยให้มีความสามารถในการใช้ภาษาไทย
ภาษาต่างประเทศ และภาษา Coding
ดิฉันดีใจว่า...ในอนาคตอีก 3 - 5 ปี ข้างหน้า เราจะได้เห็นเด็กไทยที่รู้จักรากเหง้าประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตัวเอง
มีความรัก ความภูมิใจ และหวงแหนในความเป็นคนไทยและชาติไทย รักภาษาไทยที่เป็นภาษาแม่
และพูดภาษาไทยได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ รู้จักหน้าที่ของตนเองในฐานะพลเมืองไทยที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรม
มีทักษะการคิดเชิงตรรกะ เป็นเหตุเป็นผล สามารถใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศอื่น
ๆ ในการสืบค้น ค้นคว้า เรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นนักคิด นักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์อย่างแน่นอน
ดิฉันยิ่งดีใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อท่านรัฐมนตรีจะเร่งการปฏิรูปการเรียนรู้ในห้องเรียน
แต่อย่างไรก็ตาม
บนพื้นฐานแนวคิด และนโยบายการศึกษาที่น่าชื่นชมของท่านรัฐมนตรีทั้งสองท่านนี้ ในฐานะนักการศึกษาที่อยากเห็นความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษาที่เป็นโจทย์ใหญ่ของชาติได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงในเร็ววัน
ดิฉันจึงขอนำเรียนข้อมูลทั้งสองท่านเป็นการเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เราเริ่มประกาศใช้
พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ใน พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน
ประเทศไทยปฏิรูปการศึกษามาครบ 20 ปีพอดี
แต่ก็พบว่า คุณภาพของการศึกษาไทยยังคงล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านคุณภาพผู้เรียน
ซึ่งถือเป็นเป้าหมายปลายทางท้ายสุดของการปฏิรูปการศึกษาชาติ ดังนั้น
การปฏิรูปการเรียนรู้ในห้องเรียนจึงเป็นการเดินนโยบายที่ถูกต้องที่สุด
หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการปฏิรูปการศึกษาก็คือ คะแนนผลการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ
(O-NET) และคุณภาพของผู้เรียนที่ขาดทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 และเป็นปัญหาเรื้อรังที่กระทรวงศึกษาธิการแก้ไขไม่ได้
เพราะเกาไม่เคยถูกที่คัน และยังเป็นเส้นผมบังภูเขามาจวบจนทุกวันนี้…
20 ปี ที่ผ่านมา
ประเทศไทยวุ่นวายและเสียเวลาการปฏิรูปการศึกษาไปกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กร อ้างความไม่เป็นเอกภาพทางการศึกษา ด้วยการควบรวมการศึกษาในทุกระดับ
ทั้งปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาเข้ามาไว้ด้วยกัน
ผู้นำทางการศึกษาของประเทศเราเก่งแค่เพียงมองหาเก้าอี้ให้พรรคพวกตนเอง ก่อนหน้านั้น
เรามีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเกิดขึ้นทั่วแผ่นดิน ต่อมา เราก็เพิ่มหน่วยงานศึกษาธิการจังหวัดขึ้นมาทำหน้าที่ทับซ้อน
และควบคุมอำนาจการบริหารงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอีกที ทำให้เกิดความยุ่งยาก
ซับซ้อน และอุ้ยอ้ายหนักมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ประการที่สำคัญที่สุดก็คือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างไม่ได้ทำให้คุณภาพผู้เรียน
และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนสูงขึ้น
ปัจจุบันนี้ เราได้แยกการศึกษาระดับอุดมศึกษาออกไปตั้งเป็นกระทรวงใหม่
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่หมุนกลับไปเหมือนกับการจัดระบบโครงสร้างการศึกษาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
แถมยังดึงเอาหน่วยงานระดับชาติอีกหลายหน่วยงานไปกระจุกรวมเข้าไว้ด้วยกัน
โดยยังคงใช้เหตุผลเดิม คือ
เพื่อความเป็นเอกภาพของส่วนงานที่มีลักษณะงานที่คล้ายคลึง
และส่งเสริมศักยภาพระหว่างกัน...ซึ่งอาจจะเกิดผลดีอย่างมากมายในอนาคตก็เป็นได้...เราพึ่งเริ่ม
จึงยังไม่รู้
สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
ผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของการปฏิรูปการศึกษา และมองว่า
การปฏิรูปการศึกษาสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยง่ายและโดยเร็ว
ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และด้วยการสั่งการให้คนระดับล่างปฏิบัติตามก็น่าจะสำเร็จแล้ว
...แต่เราก็ได้เรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่าน ๆ มา ไม่ว่าจะแยกหน่วยงาน
หรือยุบรวมหน่วยงาน ไม่ว่าจะควบรวมหน่วยงานที่จัดการศึกษาระดับประถมศึกษา
และมัธยมศึกษาเข้าด้วยกัน หรือจะแยกออกจากกันดังเช่นในปัจจุบันนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในภาพรวมระดับประเทศจากผลการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ
(O-Net) ใน 5 รายวิชาหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และภาษาอังกฤษก็ยังคงตกต่ำเหมือนเดิม และบางปียิ่งต่ำลงมากกว่าเดิมเสียอีก
ข้อมูลวิจัยบ่งชี้ว่า มีนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และจะเป็นปัญหาต่อไปเมื่อพวกเขาขยับขึ้นเรียนต่อไปในระดับชั้นที่สูงขึ้น
เราอยากได้คะแนนการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาที่ดี
เราจึงไม่ยอมให้เด็กนักเรียนที่ไม่รู้หนังสือ อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้
และคิดเลขไม่เป็นจำนวนมากเหล่านี้ตกซ้ำชั้น เราไม่กล้าที่จะให้สังคมได้รับรู้ความจริงที่แสนจะน่าอับอายเพื่อจะได้เข้ามาช่วยเหลือกัน
คุณภาพการศึกษาของชาติจึงยิ่งตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ
...ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษาจึงไม่ได้อยู่ที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กร
แต่อยู่ที่การพัฒนาคุณภาพให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการศึกษา ...ซึ่งก็คือ การสร้างคุณภาพผู้เรียน นั่นเอง
ดังเช่นพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่
9 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ บัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร
วิโรฒ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2523 ความว่า
“...การศึกษานั้น ไม่ว่าจะศึกษาเพื่อตนหรือจะให้แก่ผู้อื่น
สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ตรงตามวัตถุประสงค์ จึงจะได้ผลเป็นคุณเป็นประโยชน์
มิฉะนั้นจะต้องมีการผิดพลาดเสียหายเกิดขึ้น ทำให้เสียเวลาและเสียประโยชน์ไปเปล่า ๆ
วัตถุประสงค์ของการศึกษานั้นคืออย่างไร กล่าวโดยความคิดรวบยอด ก็คือ การทำให้บุคคลมีปัจจัยหรือมีอุปกรณ์สำหรับชีวิตอย่างครบถ้วน
เพียงพอทั้งในส่วนวิชาความรู้ ส่วนความคิดวินิจฉัย ส่วนจิตใจและคุณธรรมความประพฤติ
ส่วนความขยันอดทน
และความสามารถในอันที่จะนำความรู้ความคิดไปใช้ปฏิบัติงานของตนเองให้ได้จริง ๆ
เพื่อสามารถดำรงชีพอยู่ได้ด้วยความสุขความเจริญมั่นคง
และสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่สังคมและบ้านเมืองได้ตามควรแก่ฐานะด้วย...”
ความหมายที่แท้จริงของการปฏิรูปการศึกษา หรือการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา (Change in education) คือ การนำนโยบายใหม่ทางการศึกษาไปสู่การปฏิบัติ (New policy implementation) ซึ่งนโยบายใหม่ที่ว่านี้
หมายถึง การนำเอาแนวคิดใหม่ หลักสูตรใหม่ และสื่อประกอบการจัดการเรียนรู้ใหม่ ๆ
ไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดผลจริงในระดับชั้นเรียน ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า
ครูผู้สอนจะต้องปรับเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ (Teacher’s beliefs) และวิธีการจัดการเรียนรู้ (Teaching strategies) ของตนเอง
ให้เป็นไปตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้ใหม่ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ที่เชื่อว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ และให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรใหม่
ด้วยการถ่ายทอด จัดประสบการณ์การเรียนรู้ และอำนวยความสะดวก
เพื่อให้สิ่งที่เป็นวัตถุประสงค์ของหลักสูตร อันได้แก่
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ไปช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้
และสร้างสัมฤทธิผลให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนให้จงได้... “ครู” คือ ศูนย์กลางของการพัฒนาคนของชาติ... “ถ้าครูเก่ง...นักเรียนเก่ง...” “ครู” จึงคือ
แกนนำสำคัญในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาไปสู่ความสำเร็จของ “การปฏิรูปการเรียนรู้ในห้องเรียน”
ดังนั้น ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษาจึงไม่ได้อยู่ที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง
ไม่ได้อยู่ที่ตัวหลักสูตร และไม่ได้อยู่ที่การสั่งการของผู้กำหนดนโยบาย
หรือผู้บริหารสถานศึกษา แต่อยู่ที่การนำหลักสูตรไปใช้ในห้องเรียนของครู
ซึ่งมักจะถูกดำเนินการตามความคิด ความเชื่อ ความรู้ความสามารถ
และประสบการณ์ในการสอนของครู...โดยไม่มีใครสามารถสั่งการหรือบีบบังคับได้ การปฏิรูปการศึกษาในขั้นตอนที่เป็นการนำนโยบายลงสู่การปฏิบัติจริงจึงเป็นขั้นตอนที่ก้าวสู่ความสำเร็จได้ยากที่สุด
และการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยก็ยังคงติดหล่มอยู่ ณ จุดนี้
...คนไทยส่วนใหญ่พยายามหาแพะมารับบาปความล้มเหลวที่ว่า
ทั้งผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำทางการศึกษา ผู้ปฏิบัติในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน
ต่างก็บ่นตีโพยตีพายต่อเนื่องกันมาตลอดระยะเวลา 20
ปี ว่า หลักสูตรไม่ดี หลักสูตรไม่ทันสมัย
หลักสูตรไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ หลักสูตรทำให้ผลการเรียนตกต่ำ หลักสูตรทำให้นักเรียนไม่มีความสามารถทางด้านการคิดวิเคราะห์
ขาดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ทำให้นักเรียนใช้เทคโนโลยีไม่เป็น และขาดทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 และ บลา...บลา...บลา..อีกมากมายหลายประการ ทั้งๆ
ที่แบบทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ (O-Net) ก็เกิดจากการวิเคราะห์
และออกข้อสอบตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของหลักสูตรอย่างชัดเจน และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ
(สทศ.) ได้มีการประชาสัมพันธ์บลูพริ้นท์ที่เป็นแนวและกรอบของข้อสอบว่าในแต่ละปีการศึกษาว่า
จะเน้นการวัดและประเมินผลความรู้ขั้นพื้นฐานของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้นตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดอะไรบ้าง...ซึ่งจริง ๆ แล้วเราควรต้องเข้าไปดูว่า เมื่ออยู่ในห้องเรียน ครูสอนอะไร
และเราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร
คนไทยชอบโวยวาย กล่าวโทษ
และติเตียนสิ่งอื่นและผู้อื่น โดยลืมหันมามองความบกพร่องของตนเองว่า ปมปัญหาสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปการศึกษาของชาติไม่สำเร็จจนถึงทุกวันนี้
เป็นเพราะเราขาดการพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นแก่ครู เราอบรมพัฒนาครูในแต่ละปีมากมายหลายเรื่อง
แต่เราลืมพัฒนาเรื่องที่เป็นหัวใจของการปฏิรูปการเรียนรู้ในชั้นเรียน เราลืมพัฒนาครูซึ่งเป็นผู้นำหลักสูตรไปใช้ในห้องเรียน ให้เขาเป็นครูที่เก่ง และใช้หลักสูตรเป็น
เราขาดการนิเทศ ติดตาม ช่วยเหลือและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ครูส่วนใหญ่จึงยังใช้หลักสูตรไม่เป็น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในชั้นเรียนจึงไม่ตรง
และไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ด้วยเหตุนี้
ครูจึงไม่สามารถนำพาให้ผู้เรียนบรรลุการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
หรือตามมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดของหลักสูตรได้เลย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาจจะมีครูหลาย ๆ คนที่มีความเข้าใจในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของหลักสูตรบ้าง แต่การสังเกตการสอนในชั้นเรียน ก็พบว่า ครูจะสอนตามความคิด ความเชื่อและประสบการณ์ และความเคยชินของตนเอง โดยใช้หนังสือเรียนเป็นตัวตั้ง และทิ้งหลักสูตรไว้นอกห้องเรียนเหมือนเดิม...ยิ่งไปกว่านั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหลาย ๆ ท่านที่ผ่านมา ก็ขาดการวิเคราะห์ถึงปมปัญหาคุณภาพการศึกษาที่ฝังรากลึกมานาน และมักอ้างเหตุผลซ้ำ ๆ กันอยู่เสมอว่า หลักสูตรที่มีอยู่ไม่ดี ไม่มีความทันสมัย ต้องเร่งปรับปรุงหลักสูตร ...คุณภาพการศึกษาไทยจึงเหมือนกับกระทงที่ลอยวนเวียนหมุนไปมาอยู่ในอ่าง ไม่ก้าวหน้าไปถึงไหนเสียที เพราะพอเริ่มต้นเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ก็มาเริ่มต้นกันที่การแก้ไข ปรับปรุงหลักสูตรซ้ำแล้วก็ซ้ำเล่า
เช่นเดียวกับความคิดของคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาอิสระ
ที่มุ่งโจมตีในประเด็นเดียวกัน แถมยังบอกด้วยว่าหลักสูตรปัจจุบัน
เน้นการสอนให้นักเรียนท่องจำ โดยขาดการวิเคราะห์ว่า
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และที่ปรับปรุงแก้ไขอีก 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ในปี
2560 นั้น เป็นหลักสูตรที่ขึ้นต้นประโยคของมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดทุกตัวชี้วัดในทุกระดับชั้น
ด้วยคำกริยาที่เน้นพฤติกรรมการเรียนรู้ทั้งสิ้น ดังนั้น ทุกตัวชี้วัดของหลักสูตรจะบอกสิ่งที่เป็นเนื้อหาที่นักเรียนควรจะได้เรียนรู้
พฤติกรรมการเรียนรู้ที่นักเรียนพึงจะต้องปฏิบัติได้
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ควรจะเกิดในตัวผู้เรียน (What students should
know and be able to do) ไม่ได้มีเฉพาะส่วนของเนื้อหาไว้สอนเพื่อให้เด็กท่องจำอย่างที่ท่านคิด
แต่เป็นหลักสูตรที่พัฒนาให้เด็กได้เรียนรู้แบบบูรณาการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
(...ถ้าครูใช้หลักสูตรเป็น...)
ดังนั้น ถ้าครูใช้หลักสูตรในการจัดการเรียนรู้จริง
และใช้เป็น เราก็จะสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ทักษะ
มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เกิดสมรรถนะสำคัญ และมีคุณสมบัติของการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่
21 ที่พร้อมต่อการเผชิญโลกในศตวรรษที่ 21 เป็นพลเมืองไทย และพลโลกที่ดีได้อย่างครบถ้วนตามแนวคิด
และนโยบายของท่านรัฐมนตรีทั้งสองท่านอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย เพราะในข้อเท็จจริงในอดีตที่ผ่านมา
เรากลับลืมไปเลยว่า
ผู้ที่มีบทบาทตัวจริงในการขับเคลื่อนความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษา คือ ครู เพราะ “...ครู คือ ศูนย์กลางของการพัฒนา
ถ้าครูเก่ง...นักเรียนเก่ง...” นโยบายของท่านรัฐมนตรีทั้งสองท่านที่ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาคุณภาพครู
จึงเป็นสิ่งที่น่ายกย่องชื่นชม
ข้อเสนอแนะสำหรับการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเกาได้ถูกที่คันจริง
ๆ ก็คือ
1. กระตุ้นหน่วยผลิตครูให้มุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตครูที่มีคุณภาพ และให้พร้อมต่อการปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่จัดการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐาน
โดยให้แยกวิชาเอกในการผลิตบัณฑิตครูประถมศึกษาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีการจัดการเรียนการสอนจริงในโรงเรียน
ดังเช่นแนวความคิดของนายณัฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคำนึงถึงการสร้างเสริมคุณธรรม
จริยธรรม ความศรัทธาในวิชาชีพ และจรรยาบรรณของความเป็นครู
รวมทั้งความรู้และทักษะทางด้านวิชาชีพครูอย่างมีคุณภาพ
2. ระบบและกลไกในการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยต้องเป็นไปอย่างมีคุณภาพ
เข้มข้น และโปร่งใส ข้อสอบที่ใช้สอบคัดเลือกและวิธีการในการคัดเลือกครู
ต้องสามารถเลือกเฟ้นให้ได้เฉพาะคนเก่งที่ศรัทธาในวิชาชีพครูเท่านั้นมาเป็นครู
อย่าให้การสอบเป็นแค่เพียงพิธีกรรม ที่มีการลดความยากของข้อสอบลง ทุกวันนี้
เราจึงได้เพียงคนที่มาช่วยคุมชั้นเรียน
ได้คนที่สอนและใช้หลักสูตรไม่เป็นมาบรรจุเป็นครู
ซึ่งเราคงไม่กล้าจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณภาพของการศึกษาชาติในห้วงระยะเวลาอีก
20 – 30 ปีข้างหน้า
3. กระทรวงศึกษาธิการต้องพัฒนาครูประจำการที่มีอยู่ในทุกระบบการศึกษา
ให้เป็นครูที่เก่ง เพื่อไปสอนลูกศิษย์ให้เก่ง เราอยากได้เยาวชนของชาติเป็นอย่างไร
ก็จะต้องไปพัฒนาความรู้และทักษะของครูให้เกิดความเชี่ยวชาญตามนั้น
เราอยากได้ครูที่สอน Coding เก่ง ๆ สอนภาษาอังกฤษเก่ง
ๆ เราก็ต้องพัฒนาอบรมให้ความรู้และฝึกทักษะให้กับเขา แต่จะต้องตระหนักว่า
การพัฒนาครูจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น
ในเวลานี้ กระทรวงศึกษาธิการจะต้องยุติความคิดเรื่องการจะปรับหลักสูตร
และจะต้องมีความเข้าใจที่ตรงกันว่า การอบรมระยะสั้น เพียง 2 - 3 วัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ ก็ตาม จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูได้เลย
งานวิจัย (McLaughlin, 2007) สนับสนุนว่า
ถ้าจะให้ครูปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้
จะต้องใช้ระยะเวลาในการอบรมพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยเมื่อครูเข้าอบรมรับความรู้แล้ว ต้องให้กลับไปทดลองและประยุกต์ใช้ความรู้ในการปฏิบัติงานในห้องเรียนจริง
โรงเรียนโดยผู้บริหารสถานศึกษาต้องจัดให้มีการนิเทศ กำกับ ติดตาม
ให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู (PLC) งานพัฒนาครูจึงสัมพันธ์กันกับองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
นั่นก็คือ การให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ
และการเอาใจใส่ต่องานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษานั่นเอง
4. สนับสนุน
และพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของครูอย่างต่อเนื่อง ให้การปฏิบัติหน้าที่การจัดการเรียนรู้ตามภาระงานปกติของครูกลายเป็นผลงานที่เชื่อมต่อกับเกณฑ์การเข้าสู่การขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของครูตาม ว. 21 และ ว. 22/2560 โดยการสะสมชั่วโมงการสอน การอบรม
การนำความรู้และทักษะที่ได้ไปปฏิบัติการสอนจริง
แล้วบันทึกหลักฐานความสำเร็จของการปฏิบัติที่ดี ที่สะท้อนพัฒนาการการเรียนรู้ในตัวผู้เรียน
ครูที่ตั้งใจสอนจนทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ดีของผู้เรียนและประสบความสำเร็จ
ทำให้เกิดห้องเรียนคุณภาพ ต้องได้รับรางวัลการเลื่อนวิทยฐานะเป็นผลตอบแทนจากงานที่เกิดขึ้นจากผลของการปฏิบัติงานจริงในชั้นเรียนอย่างเท่าเทียมกัน
ดังพระราชกระแสรับสั่งของในหลวงรัชกาลที่ 9 ถ้าทำเช่นนี้ได้
ครูก็ไม่ต้องทิ้งการสอน หรือทิ้งห้องเรียน เพื่อไปทำผลงานวิชาการอย่างเช่นแต่ก่อนอีก
โครงการพัฒนาครูในรูปแบบครบวงจร หรือคูปองครู จึงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพครู
และคุณภาพการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างคุณภาพผู้เรียน และห้องเรียนคุณภาพที่ดี
และเป็นระบบ นำไปสู่การปฏิรูปการเรียนรู้ในชั้นเรียนในท้ายที่สุด
5.
การประเมินผลคุณภาพการปฏิบัติงานจริงของครูตามเงื่อนไขวิทยฐานะตาม
ว. 21 และ ว. 22/2560 ต้องสะท้อนผลสำเร็จในตัวผู้เรียน จะต้องเป็นการดำเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการที่มีคุณภาพที่ส่งถึงตัวผู้เรียนอย่างเป็นระบบเท่านั้น
และจะต้องไม่ใช่การประเมินจากผลลัพธ์สุดท้ายที่เป็นผลของการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ
(O-Net) แต่เพียงอย่างเดียว มิเช่นนั้น
จะเกิดปรากฏการณ์ที่ครูติวความรู้เพื่อเพิ่มคะแนนการสอบแทนการจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ให้กับผู้เรียน
และชั้นเรียนจะกลายเป็นโรงเรียนกวดวิชาแทนการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ครบถ้วนตามหลักสูตร
6. เกณฑ์ในการประเมินเพื่อการเข้าสู่การขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของผู้บริหารสถานศึกษาต้องเกิดจากการส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดห้องเรียนคุณภาพ ผลงานของผู้บริหารสถานศึกษาควรสัมพันธ์กับการใช้กลยุทธ์และวิธีการที่เป็นการสร้างคุณภาพด้านการบริหารสถานศึกษา
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
โดยเป็นการรายงานที่แสดงถึงกลยุทธ์ เทคนิคและกระบวนการในการสนับสนุนส่งเสริม
การนิเทศ กำกับ ติดตาม และการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง เพื่อทำให้เกิดห้องเรียนคุณภาพ
ที่สะท้อนถึงความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของครู และการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
และนำไปสู่การเป็นโรงเรียนคุณภาพในท้ายที่สุด
7. ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษา
ต้องการครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจกฎหมายการศึกษา หรือ พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ฯ และหลักสูตร และนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็น ผู้เกี่ยวข้องทุกคนต้องมีความเชื่อว่า
ผู้เรียนมีความสำคัญ
สามารถเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ได้ตามศักยภาพที่แตกต่างกันเป็นรายบุคคล
ครูจึงต้องมีความรักและศรัทธาในวิชาชีพ มีจิตวิทยาการเรียนรู้
รวมทั้งมีทักษะและเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning) ที่ใช้วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่น่าสนใจและหลากหลาย
เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดการเรียนรู้ โดยมุ่งจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลการเรียนรู้
เกิดทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดของหลักสูตร
เป็นพลเมืองไทยที่รักชาติไทย รู้ภาษาไทย รักภาษาไทย เก่งภาษาต่างประเทศ และเป็นพลโลกที่เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะและทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 สำหรับการศึกษาต่อในระดับสูง และการทำงานในยุคประเทศไทย 4.0
ต่อไปในอนาคต
วันนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องใช้ยาแรงเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติ
ดิฉันดีใจที่ นายณัฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
และ ดร. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาครูเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้ในห้องเรียน
และได้กำหนดเป็นนโยบายหลักของกระทรวง และดิฉันเชื่อมั่นว่า ทั้งสองท่านคงจะมีมุมมองที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับพระราชกระแสรับสั่งของในหลวงรัชกาลที่
9 ที่ว่า “ครู คือ ศูนย์กลางของการพัฒนา” เพราะครู คือ
ผู้สร้างคุณภาพของผู้เรียน และทำให้เกิดห้องเรียนคุณภาพ
ซึ่งเป็นแก่นและหัวใจของความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษา ที่ล่าช้ามาเนิ่นนานถึง 20
ปี...” ...ดิฉันขอวิงวอนและฝากความหวังอันแสนริบหรี่นี้ไว้กับท่านรัฐมนตรีทั้งสองท่านและคณะ
ด้วยความขอบพระคุณยิ่งค่ะ
ไหนบอกนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ขนาดนักการศึกษายังมั่ว ครูเขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องหลักสูตรอะไรหรอกครับ เขาเดือดร้อนเรื่องภาระงาน กับการฝึกเด็กแข่งต่างหาก เอกสารประเมินก็ท่วมหัวไปหมด รร. ก็ย้ายยาก ทางบ้านก็มีปัญหารุมเร้า เงินเดือนก็แค่นี้ อ่านจบแล้วก็ไม่พบสาระอะไร
ตอบลบ