จุรินทร์เตรียมดันไทยเป็น Art & Crafts Hub ของอาเซียนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หนุน SACICT สร้าง Ecosystem ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ให้ชุมชนเติบโตผ่านงานศิลปหัตถกรรมไทยอย่างยั่งยืน


กระทรวงพาณิชย์ เตรียมดันไทยเป็นศูนย์กลางงานศิลปหัตถกรรมไทยแห่งอาเซียน
หนุนให้ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) สร้างสภาพแวดล้อม (Ecosystem) ที่เอื้อให้   งานศิลปหัตถกรรมเติบโต ผ่านการติดอาวุธด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ “นำคุณค่ามาเพิ่มมูลค่า” หวังใช้ภูมิปัญญาที่ต่อยอดด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม กระจายรายได้ให้ชุมชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในการพัฒนาการค้าในทุกมิติ ซึ่งใน ช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จึงจำเป็นต้องเร่งรัดให้เกิดการส่งเสริมการประกอบอาชีพศิลปหัตถกรรม เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพและรายได้แก่ประชาชน จึงได้มอบหมายให้ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT ดำเนินการพัฒนาวงการศิลปหัตถกรรมไทยอย่างรอบด้าน ซึ่งที่ผ่านมาเน้นการเป็นเศรษฐกิจชุมชน ที่มีผู้ผลิตและจำหน่ายหัตถศิลป์ไทยล้วนเป็นชาวบ้านและชุมชนในภูมิภาคต่าง ๆ นำภูมิปัญญาและฝีมือเชิงช่างที่ได้รับการสืบทอด มาผลิตงานหัตถศิลป์ในแบบดั้งเดิม 


ดังนั้นเพื่อให้วงการศิลปหัตถกรรมของไทยเกิดการพัฒนาให้เท่าทันกับการแข่งขันของโลกยุคใหม่ จึงต้องเร่งพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมไทย สร้างให้เป็นแรงงานอาชีพสร้างสรรค์ 
 ที่มีคุณภาพ ยกระดับศักยภาพในหลากหลายมิติเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในเชิงพื้นที่ที่มีชุมชนเป็นศูนย์กลางและคนในชุมชนมีส่วนร่วม ซึ่งไทยมีความโดดเด่นเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นที่ถ่ายทอดออกมาเป็นชิ้นงานที่มีเอกลักษณ์ นำคุณค่าภูมิปัญญาดั้งเดิมมาต่อยอดด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ที่ปัจจุบันมีการขยายตัวและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมีการนำจินตนาการ นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเพิ่มมูลค่าให้สินค้ามีความแปลกใหม่และโดดเด่น


สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
กระทรวงพาณิชย์ได้หนุนให้สร้างสภาพแวดล้อม (Ecosystem) ที่เอื้อให้งานศิลปหัตถกรรมเติบโต ด้วยผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันในระดับราคาที่เข้าถึงได้ ผ่านการสร้างกระแสความนิยมใช้งานศิลปหัตถกรรมในสังคมไทย ด้วยกิจกรรมและการใช้บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียง ช่วยกระตุ้นให้สังคมไทยรู้สึกภาคภูมิใจและเกิดการซื้อใช้  เพื่อให้คนไทยในทุกภาคส่วนสามารถมีส่วนร่วม เป็นพลังสำคัญในการดำรงรักษาคุณค่าความเป็นไทยผ่านงานศิลปหัตถกรรมซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าของชาติให้คงอยู่ต่อไป


ทั้งนี้เมื่อไทยเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการแข่งขันในทุกมิติแล้ว กระทรวงพาณิชย์มีแผนผลักดัน   ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์รวมงานศิลปหัตถกรรมแห่งอาเซียน (Art & Crafts Hub of ASEAN) ทั้งในมิติของ   การสืบสานรักษาต่อยอดองค์ความรู้หัตถศิลป์ไทยให้คงอยู่คู่สังคมไทย และในมิติของการเป็นศูนย์รวมการค้า การลงทุนในงานศิลปหัตถกรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นแหล่งรวมนักลงทุน แรงงานคุณภาพ ผู้ประกอบการ และผู้ที่กำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจด้านศิลปหัตถกรรม สร้างตลาดการซื้อ-ขาย ตั้งแต่วัตถุดิบและชิ้นงาน


หัตถศิลป์ไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ
ผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายงานศิลปหัตถกรรมเพื่อรองรับการขับเคลื่อนการค้าดิจิทัล ให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจหัตถศิลป์ของอาเซียน ในอนาคต 


นายพรพล เอกอรรถพร ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ
กล่าวว่า ในปี 2564 นี้ SACICT ดำเนินการเพิ่มความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการไทย โดยปรับความคิดและกระบวนการทำงานของ ผู้ทำงานศิลปหัตถกรรม ควบคู่ไปกับการพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ ทั้งในด้านคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น สีสัน ขนาด ลวดลาย และการใช้งานให้ตรงกับความต้องการของตลาดสมัยใหม่ เพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการหัตถศิลป์ไทย ควบคู่ไปกับการเข้าไปดูแลและคุ้มครองด้านสิทธิประโยชน์ การกำหนดและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์หัตถกรรมไทยเพื่อการส่งออก 


รวมถึงการรับรองถิ่นกำเนิดของงานหัตถกรรมไทย การให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า รวมถึงลดกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดของเสียและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาคมโลกให้ความสำคัญและตระหนักถึง


SACICT
เตรียมนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยพัฒนาวงการศิลปหัตถกรรมไทย โดยได้ผสานความร่วมมือจาก 3 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ จากนานาชาติ และยังเป็นเครื่องมือให้กับผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพและมูลค่าให้สินค้า และมีกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้นขณะเดียวกันช่วยลดระยะเวลาในการทำงานลง เป็นการพลิกโฉมหัตถศิลป์ไทยไปสู่ SMART Crafts (หัตถศิลป์อัจฉริยะ) ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในทุกขั้นตอนตั้งแต่การปลูกพืชที่เป็นวัตถุดิบต้นทาง กระบวนการผลิต การบริหารจัดการ ไปจนถึงปลายทางในการจัดจำหน่ายอย่างเป็นระบบ 


อันจะเอื้อให้ผู้ประกอบการงานคราฟต์ของไทยได้เปรียบในการแข่งขั
น สร้างให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น หนุนให้เกิด Ecosystem ด้านงานศิลปหัตถกรรมอย่างกว้างขวาง เกิดเป็นมิติใหม่ของงานศิลปหัตถกรรมไทยที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อให้ชาวบ้าน ชุมชน คนทำงานศิลปหัตถกรรมไทยสามารถเติบโตไปพร้อมๆ กับสังคมไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ได้อย่างสง่างาม

Share:

สังสรรค์ วันคล้ายวันเกิด เอิร์ธ สายสว่าง @เรือวันเดอร์ฟูลเพิรล์ (Wonderful Pearl)

 

เอิร์ธ สายสว่าง จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด โดยมีศิลปินดารานักแสดงและเซเลบริตี้ชื่อดัง อาทิ รศ.ดร.นริศ ชัยสูตร ประธานกรรมการบริหาร สถาบันวิทยาการธรรมศาสตร์เพื่อสังคม และเพื่อนผู้เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูงธรรมศาสตร์เพื่อสังคม หรือ นมธ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 

ฝน-กัญญาภัค อินทรักษา พร้อมทั้งนักร้องชื่อดัง นัดดา วิยกาญจน์, ชรัส เฟื่องอารมย์, ชนานา นุตาคม, บดินทร์ ดุ๊ก, โจแอน บุญสูงเนิน มาสร้างสีสันให้ความบันเทิงอย่างสนุกสนาน มาร่วมแสดงความยินดี โดยมี พิชิต กุลเกียรติเดช เจ้าของเรือวันเดอร์ฟูลเพิรล์ (Wonderful Pearl)

ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นบนเรือสำราญ และชื่นชมทัศยภาพงานสถาปัตยกรรมของสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนสุดแสนโรแมนติก 






Share:

เริ่มเเล้ว! “เปรี้ยวปาก Festival 2020 อร่อยใหญ่ ห่วงใยโลก”

เริ่มเเล้ว! “เปรี้ยวปาก Festival 2020 อร่อยใหญ่ ห่วงใยโลก”

‘เต๋อ – จอย’ นำทัพกว่า 80 ร้านอร่อยเด็ดทั่วไทย

29 ตุลาคม  – 1 พฤศจิกายนนี้ 10.00 – 22.00 น.

ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต

ฉลองยิ่งใหญ่ก้าวสู่ปีที่ 17  รายการเปรี้ยวปาก รายการวาไรตีกิน-เที่ยว ออกอากาศทางช่อง 3HD (ช่อง 33) ทุกวันเสาร์เวลา 06.50 น. ดำเนินรายการโดย 2 พิธีกรคู่หูนักกิน “เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี และ จอย รินลณี ศรีเพ็ญ” รวมกว่า 80 ร้านอร่อยใหญ่ที่เคยออกอากาศในรายการ! ร้านฮิตติดกระแสโซเชียล! และร้านดังจากต่างจังหวัดที่ห้ามพลาด! มาให้นักกินลิ้มชิมที่ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ที่เดียว!

ภริตา  วิริยะรังสฤษฎ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทม์ บรอดคาสท์ จำกัด ผู้ผลิตรายการเปรี้ยวปาก แย้มว่าความอร่อยในปีนี้จะอัดแน่นยิ่งกว่าที่เคยอย่างแน่นอน เพราะเราได้คัดสรรสารพันเมนูชวนเปรี้ยวปากที่คัดสรรแล้วว่าเด็ดจากทุกมุมเมืองมาเพียบ! อาทิ ร้านยำลิ้นเบิร์น ยำจานยักษ์อร่อยใหญ่แซ่บสะใจ ร้านหรอย ขนมจีนน้ำยาใต้เมืองคอน น้ำยาสูตรเด็ดดั้งเดิมที่สืบทอดมายาวนาน รสชาติเข้มข้นจัดจ้านเครื่องล้น และ ร้านทองย้อย ร้านขนมหวานหัวใจไทยกับเมนูสวยเลอค่าภายใต้มวลดอกไม้ และในปีนี้ยังได้ร่วมกับ ธนาคารออมสิน คัดสรรร้านสตรีทฟู้ดเจ้าเด็ดตัวจริงจากทั่วประเทศมาให้ลิ้มรสกันถึงภายในงานด้วย

และพลาดไม่ได้กับบรรดา ร้านอร่อยของคนดัง ที่เด็ดไม่แพ้กัน อาทิ ร้าน Chub n’ Chew บราวนีปั่นเนื้อเน้นๆ แบบไม่กลัวอ้วนของ “น้องเบลล์ เขมิศรา พลเดช” ร้านเนื้อทอดเทวดา เนื้อทอดกรอบอร่อยเคี้ยวเพลินจนหยุดไม่ได้สูตรลับของ “น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา”

ร้าน Took took to go ขนมและเครื่องดื่มโฮมเมดแสนอร่อยจากคุณแม่คนเก่ง “ตุ๊ก ชนกวนันท์ รักชีพ” เมนูซี่โครงหมูบาร์บีคิวรมควัน ซอสชุ่มฉ่ำสโมคจนเปื่อย จาก ร้าน Daddyhouse BBQ ของสาวสวยยืนหนึ่ง “มะปราง วิรากานต์ เสณีตันติกุล” และ ร้าน Funky Grill หม่าล่าเผ็ดร้อนลิ้นชาจัดจ้านไม่ธรรมดา ของพ่อค้าสุดหล่อ “เฟิสท์ เอกพงศ์ จงเกษกรณ์” นี่แค่เรียกน้ำย่อยเท่านั้นนะ

กองทัพศิลปินดาราที่มาร่วมงาน นำทีมโดย เต๋อ ฉันทวิชช์, จอย รินลณี, อร พัทธ์ธีรา, มะปราง วิรากานต์, เบนซ์ ณัฐพงศ์ ผาทอง, เฟิสท์ เอกพงศ์ จงเกษกรณ์ ทีมนักแสดงช่อง 3

พบกับความคุ้มค่าสุดๆ จากโปรโมชั่นพิเศษภายในงาน อาทิ “โปรโมชั่นร่วมอร่อยใหญ่ห่วงใยโลก” ง่ายๆ เพียงพกแก้วหรือภาชนะมาเอง ก็ได้รับส่วนลดจากร้านค้าในงานที่ร่วมกิจกรรมไปเลย

เรียกว่าเป็นอีกงานที่ขาชิมห้ามพลาด!! มาอร่อยใหญ่กันตลอด 4 วัน ที่งาน “เปรี้ยวปาก Festival 2020  อร่อยใหญ่ ห่วงใยโลก” ระหว่าง 29 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2563 เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ  ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต

 

Share:

โซฟลอรา น้ำยาฆ่าเชื้อกลิ่นหอมพรีเมี่ยมยอดนิยมจากประเทศอังกฤษวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว!!

 

  • น้ำยาฆ่าเชื้ออันดับ 1 จากประเทศอังกฤษที่ช่วยให้ทุกครัวเรือนปราศจากเชื้อโรคมานานร่วม 100 ปี
  • สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่ รวมถึงโคโรนาไวรัสสาเหตุของโควิด-19 ได้ถึง 99.9%
  • กำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์แต่ให้ความหอมพรีเมี่ยมยาวนาน 

บริษัท สตาดา ประเทศไทย โดย คุณสันธนา พนาวัฒนกุล (ซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป และ คุณกรพินธุ์ ชัยมงคลานนท์ (กลาง) เปิดตัว โซฟลอรา น้ำยาฆ่าเชื้ออันดับ 1 จากประเทศอังกฤษ สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่ รวมถึงโคโรนาไวรัสสาเหตุของโควิด-19 ได้ถึง 99.9% โดยมีคุณนาฏนุช วงศ์ศรีรุ่งเรือง (ขวา)จากเพจสารพันปัญหาการเลี้ยงลูกร่วมแบ่งปันประสบการณ์ดูแลความสะอาดครอบครัว

กรุงเทพ ประเทศไทย, 29 ตุลาคม 2563 -  โซฟลอรา แบรนด์น้ำยาฆ่าเชื้อกลิ่นหอมยอดขายอันดับหนึ่งจากประเทศอังกฤกษ ผลิตโดย Thornton & Ross ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่สองในกลุ่มตลาดเอเชีย ผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อ โซฟลอรา ผลิตและพัฒนาขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษและถือได้ว่าเป็นหนึ่งในน้ำยาฆ่าเชื้อยอดนิยมที่ทุกครัวเรือนโปรดปรานมานานเกือบ 100 ปี
ผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อ โซฟลอรา ขึ้นชื่อทางด้านสูตร ทรีอินวัน (3in1) ที่รับประกันได้ว่ามีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึง 99.9% รวมถึงเชื้อ E. Coli, แอสเปอร์จิลลัส, MRSA, ซาลโมเนลลา, ลิสทิเรีย, เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1), ไวรัสเริม, ไวรัสโรตา และไวรัสอาร์เอสวี (RSV) นอกจากนี้ ยังได้มีการทดสอบแล้วว่า โซฟลอรา สามารถฆ่าเชื้อ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ได้ด้วยเช่นกัน

คุณสันธนา พนาวัฒนกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สตาดา ประเทศไทย กล่าวว่า “ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างยิ่งกับการเปิดตัว โซฟลอรา ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันนี้คนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลความสะอาดในการฆ่าเชื้อโรคกันมากขึ้น เราจึงมองเห็นโอกาสในการนำผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ โซฟลอรา เข้ามาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทย โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคนที่รักความสะอาดและต้องการให้บ้านทั้งสะอาดและมีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดเวลา โซฟลอรา เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่เป็นทั้งน้ำยาฆ่าเชื้อ และยังมีกลิ่นหอมระดับพรีเมี่ยมที่ติดทนนานตลอดทั้งวันอีกด้วย”

โซฟลอรา เป็นผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อที่โด่งดังในเรื่องของความหอมที่ติดทนนาน ทำให้บ้านมีกลิดหอมสดชื่นตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังใช้งานได้แบบอเนกประสงค์ เพียงแค่ผสมในน้ำ อัตราส่วน 1:40 และใช้เช็ดถูตามบริเวณต่าง ๆ ในบ้าน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ตามท่อ หรือโถสุขภัณฑ์ ได้อีกด้วย

โซฟลอรา ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย นำทัพความหอมหลากหลายกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น กลิ่นลินินเฟรช กลิ่นบูเก้ กลิ่นคันทรี การ์เด้น กลิ่นลาเวนเดอร์ และกลิ่นเมาท์เทน แอร์ มาให้ลูกค้าได้เลือก โดยลูกค้าสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ ลาซาด้า หรือ ที่บิ๊กซี และฟู้ดแลนด์

คุณกรพินธุ์ ชัยมงคลานนท์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท สตาดา ประเทศไทย
กล่าวว่า “อย่างที่รู้กันดีว่าผลิตภัณฑ์ โซฟลอรา สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึง 99.9% นอกจากนี้ เราได้มีการทดสอบแล้วว่าน้ำยาฆ่าเชื้อของเราสามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคที่กำลังแพร่ระบาดทั่วโลกอยู่ ณ ตอนนี้อีกด้วย และนี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ลูกค้าสนใจในผลิตภัณฑ์ของเรามากขึ้น เพราะในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการป้องกันและรักษาสุขอนามัยมากกว่าเดิม”

ตามคำแนะนำขององค์กรอนามัยโลก (WHO) วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันไวรัสโคโรน่า คือ การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ รักษาระยะห่างทางสังคม และการฆ่าเชื้อโรค  ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและผ่านการทดสอบด้านประสิทธิภาพแล้วอย่าง โซฟลอรา ในการทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ในบ้าน สถานศึกษา หรือที่ทำงาน ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยป้องกันคุณและคนที่คุณรักให้ห่างไกลจากไวรัสนี้อีกด้วย

โซฟลอรา ผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อที่คนอังกฤษมากกว่า 4 ล้านครัวเรือนเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและประทับใจในความหอมที่ติดทนนาน ทำให้ที่ โซฟลอรา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดในประเทศอังกฤษ

 

Share:

กระทรวงพาณิชย์ โดย GIT เปิดตัว เครื่องประดับเพื่อสุขภาพ ตอบโจทย์ความต้องการ เครื่องประดับที่มากกว่าความสวยงาม


กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เผยโฉมเครื่องประดับ ตอบโจทย์ทั้งทางด้านความสวยงามและทางด้านสุขภาพ  พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มอบนโยบายในปีงบประมาณ 2564 ให้สถาบัน เร่งผลักดันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ในทุกมิติ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมทั้งกระตุ้นความต้องการในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ในฐานะการเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลก 

ซึ่งโครงการเครื่องประดับเพื่อสุขภาพ ถือได้ว่าเป็น หนึ่งในโครงการที่ได้มอบหมายให้กับสถาบันบูรณาการร่วมกับสถาบันการศึกษา อย่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อนำงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านสุขภาพ มาสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมเครื่องประดับ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน  ทั้งยังเป็นการต่อยอดงานวิจัยให้สามารถนำมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับอีกด้วย

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย รองผู้อำนวยการสถาบัน รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ กล่าวว่า ในปี 2563 นานาประเทศทั่วโลก นี้ต้องประสบกับปัญหาวิกฤตไวรัสโควิด 19 และประเทศไทยเองยังเผชิญกับปัญหามลภาวะ PM 2.5 ที่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพระยะยาว ซึ่งสภาวะเหล่านี้ ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายสินค้าเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทางสถาบันจึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาเครื่องประดับสุขภาพ เพื่อพัฒนาสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับให้มีประโยชน์ใช้สอย มากกว่าเพื่อความสวยงาม เช่น เครื่องประดับเพื่อสุขภาพ เครื่องประดับเพื่อความทรงจำ เป็นต้น 

สถาบัน ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อนำงานนวัตกรรมที่น่าสนใจมาร่วมพัฒนา และออกแบบร่วมกับ นักออกแบบเครื่องประดับและผู้ประกอบการ เป็นเครื่องประดับต้นแบบ โดยครั้งนี้ได้นำเทคโนโลยีที่ใช้ในเครื่องกำจัดฝุ่น PM 2.5 เพื่อนำมาใช้เป็นองค์ประกอบของเครื่องประดับ โดยมีหลักการทำงานคล้ายเครื่องฟอก-อากาศ เพื่อดักจับอนุภาคของฝุ่น PM 2.5 

ทำให้อนุภาคฝุ่นเป็นกลางหล่นลงสู่พื้น คงเหลือแต่อากาศที่สะอาดปราศจากฝุ่นควันกลับสู่ธรรมชาติ มีความปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม และสามารถใช้งานได้จริง ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โดยผลักดันจุดแข็งด้านงานวิจัยมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การออกแบบ สร้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบรนด์ เป็นการสร้างคุณค่า และมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับให้มีคุณสมบัติที่เป็นมากกว่าเครื่องประดับทั่วไป อีกทั้งยังได้มีการออกแบบเครื่องประดับเพื่อสุขภาพเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ และ ช่วยในการเคลื่อนไหว อาทิ แหวนกันนิ้วล็อค และ เครื่องพยุงกล้ามเนื้อเพื่อช่วยในการเดิน เป็นต้น

รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดยเทคโนธานี  มหาวิทยาลัยมีความยินดีที่ให้การสนับสนุนในด้านการประสานงานการปรับแปลงวงจรของเครื่องฟอกอากาศ โดยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสู่การผลิต ซึ่งเป็นภารกิจหนึ่งของมหาวิทยาลัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ภาคเอกชน 
รวมทั้งผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการพัฒนางานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนการนำผลงานวิจัยมาถ่ายทอดให้คำปรึกษาเชิงลึก พร้อมผลักดันให้เกิดการนำผลงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยไปสู่การใช้ประโยชน์ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของสังคมและประเทศ ซึ่งการได้ร่วมมือกับ GIT ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ต่อยอดงานวิจัยให้เกิดผลผลิตที่แท้จริง”

นอกจากนี้ นายสุรศักดิ์ มณีเสถียรรัตนา หนึ่งในนักออกแบบ และ นักวิจัยอิสระ ที่ได้ร่วมออกแบบผลิตภัณฑ์ต้นแบบในโครงการ Beyond Jewelry ได้เสริมถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบว่า “แรงบันดาลใจในการออกแบบครั้งนี้ ถอดแบบจากการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ที่ใช้หลักการของประจุบวก และ ประจุลบ (ION) ของน้ำ ซึ่งอยู่รอบตัวเรา มาเป็นแรงบันดาลในการออกแบบ สร้องคอ ต่างหู และสร้อยข้อมือ 

โดยใช้เทคนิคการออกแบบให้มีความน่าสนใจ โดย คอลเลคชั่น Water Harmony I ใช้เทคนิคความสมมาตรทั้งซ้าย และ ขวา ซึ่งส่งให้เครื่องกรองอากาศมีความโดดเด่น และเปล่งประกายดังอัญมณี ส่วน Water Harmony II ใช้แนวคิดของการออกแบบที่ไม่มีความสมมาตร มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และใช้เทคนิคที่ชื่อ Slice & Lock เพื่อให้ผู้ใส่สนุกกับการสวมใส่เครื่องประดับมากขึ้น 

นอกจากนี้ GIT ยังมีผลงานที่น่าสนใจอื่นๆอีกมากมายที่พร้อมเผยโฉมและจะทำให้คุณมองเครื่องประดับเปลี่ยนไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 634 4999 ต่อ 635 - 642




Share:

ลอยกระทงฟรี ‼️​ ที่โรงแรม เดอะ พาร์ค ไนน์ สุวรรณภูมิ


ขอเชิญทุกท่านเที่ยวงานลอยกระทง พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศอันงดงาม

ริมคลองประเวศบุรีรมย์ ณ ห้องอาหาร อีท ดริ๊ง เลิฟ,

โรงแรม เดอะ พาร์ค ไนน์ สุวรรณภูมิ

••อิ่มอร่อยไปกับอาหารหลากหลายเมนูที่รังสรรค์โดยเชฟมืออาชีพ 

••ร่วมสนุกและสืบสานวัฒนธรรมไทยอันทรงคุณค่าไปด้วยกัน

พบกันวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคมนี้

ทานครบ 3,000 บาท / ใบเสร็จ

รับฟรี..ห้องพัก 1 คืน

(*ห้องพักฟรีสำหรับคืนวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เท่านั้น*)


สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-2019-9111

Facebook : The Park Nine Suvarnabhumi

Instagram : theparknine_suvarnabhumi



Share:

ชวนค้นหาความทรงจำผ่านเลนส์ ในนิทรรศการ “ล่อง รอยราชดำเนิน”

ถนนราชดำเนิน...เป็นหนึ่งในถนนสายสำคัญของประเทศไทย ที่มีเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวข้องกับทั้งประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของผู้คนหลากหลาย มากมาย และด้วยมีผู้คนต่างวัยมากมายที่เคยมาสัมผัสกับถนนสายนี้ เคยมีประสบการณ์ร่วมกับถนนสายนี้ จึงทำให้มีเรื่องเล่าที่ต่างมุมออกไปมากมาย บางเรื่องราวเป็นมุมมองที่ใครหลายคนอาจจะไม่เคยพบเห็น หรือบ้างก็คาดไม่ถึง

ในโอกาสที่ถนนสายนี้มีอายุครบ 121 ปี ในปี 2563 มิวเซียมสยาม จึงได้จัดทำนิทรรศการหมุนเวียน “ล่อง รอยราชดำเนิน : นิทรรศการผสานวัย” ขึ้นบอกเล่าประวัติศาสตร์สังคมไทยผ่านถนนราชดำเนิน ด้วยนิทรรศการรูปแบบใหม่ผ่านการมองราชดำเนินจากประสบการณ์ ความเข้าใจ และความทรงจำของผู้คนต่างวัย 

ฐานิส สุดโต บรรณาธิการภาพของสำนักข่าวออนไลน์ The Standard เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้สัมผัส “ราชดำเนิน” ผ่านบทบาทการทำงานในฐานะช่างภาพข่าวของเขา ว่าการทำงานทำให้เขามีโอกาสได้สัมผัสและบันทึกเรื่องราวของถนนราชดำเนินไว้หลากหลายแง่มุมในต่างวาระ จนกลายเป็นภาพบันทึกความทรงจำอันมีค่าให้กับตัวเอง และผู้คนอีกมากมายที่เคยมาสัมผัสกับถนนสายนี้ในห้วงเวลาเดียวกัน

“สมัยเรียนผมต้องมาถ่ายภาพไฟที่ถนนราชดำเนินในช่วงวันที่ 5 ธันวา พอมาทำงานเป็นช่างภาพข่าวก็ต้องมาที่นี่เพราะมีเหตุการณ์ทางการเมือง หรือเหตุการณ์งานพระราชพิธีต่างๆ เช่น พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพของในหลวง รัชกาลที่ 9 พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิ-วัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และงานพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราช เป็นต้น ซึ่งเราจะได้เห็นโมเม้นต์ของแต่ละช่วงที่ต่างๆ กัน หากเป็นงานพระราชพิธีจะมีความยิ่งใหญ่ในตัวของงานเอง ประกอบด้วยผู้คนที่มาร่วมงานก็จะมีหลากหลายอารมณ์ เช่น ตอนงานพระราชพิธีของรัชกาลที่ 9 ทุกคนก็จะแบบ...โอ้โห! ตากฝนตากแดดกันเป็นเดือนๆ เลย แต่ถ้าเป็นงานการเมืองจะมีความเกรี้ยวกราดในอารมณ์จนมันเกิดความรุนแรงขึ้นมา

ภาพความทรงจำบนถนนราชดำเนินของฐานิสแม้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากเนื้องานที่ต้องทำ แต่ก็ทำให้เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ หรือประวัติศาสตร์ที่สำคัญบนถนนราชดำเนิน ณ ช่วงเวลานั้นๆ ไปโดยปริยาย ซึ่งบางเหตุการณ์ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีโอกาสที่จะเห็นกันได้ง่ายดายนัก กรณีการจัดนำรถแข่งฟอร์มูล่าร์ วัน มาโลดแล่นอยู่บนถนนราชดำเนิน

นอกจากภาพบรรยากาศความเป็น “ราชดำเนิน” ที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสายตาของช่างภาพมืออาชีพอย่างฐานิสแล้ว “การเดิน” ไปตามถนนสายหลักแล้วแวะเข้าไปตามซอกซอยต่างๆ ของถนนราชดำเนิน ยังจะทำให้ได้เห็นภาพราชดำเนินในอีกมุมหนึ่งที่ซุกซ่อนเรื่องราวและบรรยากาศที่น่าทึ่งของวิถีชีวิตชุมชนไว้มากมาย และสิ่งนี้เองที่จะทำให้เราได้เห็นราชดำเนินในอีกมุมหนึ่งที่เป็นมากกว่าถนน

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในท่ามกลางความคุ้นเคยของผู้คนบนถนนราชดำเนิน ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าบางเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นเรื่องประทับใจ หรือเป็นภาพความทรงจำที่งดงามนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกเรื่องราวกลับล้วนช่วยเติมเต็ม “คุณค่า” ให้กับถนนสายนี้ได้ทั้งสิ้น

 “ผมมาเดินที่นี่เกือบสามสิบปีแล้วนะ ก็เปลี่ยนไปเยอะ ทั้งสนามหลวง ทั้งตึกอาคารโดยรอบ อาคารบนถนน มันถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุค ผมไม่สามารถที่จะบอกได้เลยว่าต่อไปมันจะกลายเป็นอะไร เพราะมันก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ จะยอมรับหรือไม่ยอมรับเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายเราก็ต้องอยู่ร่วมกับมัน” ฐานิสกล่าว

ด้านช่างภาพอิสระและศิลปินนักร้องอย่าง “รุจ – ศุภรุจ เตชะตานนท์”  ได้เล่าเรื่องราวของราชดำเนินผ่านเลนส์ ด้วยมุมมองและวิธีการนำเสนอที่แตกต่างออกไป โดยนักร้องหนุ่มเล่าถึงราชดำเนินว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการถ่ายภาพบรรยากาศที่แสดงความเป็นกรุงเทพมหานครอย่างชัดเจน “ราชดำเนิน” จึงไม่ใช่เป็นแค่ถนน แต่ยังเป็นเสมือนสนามของการถ่ายภาพในความทรงจำให้กับบรรดาช่างภาพ ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพแทบทุกคนด้วย

“สมมุติว่าเราหลับตาแล้วนึกถึงการถ่ายภาพกรุงเทพฯ ผมว่าช่างภาพทุกคนต้องเคยมาถ่ายรูปในโซนของเมืองเก่า เพราะมีสถาปัตยกรรม หรือโครงสร้างของสิ่งก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นวัด พระราชวัง หรือบ้านเก่าๆ ถนนเก่าๆ ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนชอบถ่ายภาพหรือช่างภาพ ยังไงก็พลาดไม่ได้ที่จะมา แต่ปัญหาข้อเดียวที่จะเจอคือ คนเยอะ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะมาก ทำให้มุมที่เราอยากจะถ่ายภาพ ก็ต้องยืนรอ บางทีต้องรอจังหวะแสงสวย ซึ่งต้องใช้เวลา”

การมองถนนราชดำเนินและบอกเล่าเรื่องราวความทรงผ่านเลนส์ของรุจ ในฐานะช่างภาพอิสระที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแลนด์สเคปและภาพถ่ายเชิงท่องเที่ยว ทำให้การนำเสนอเรื่องราวและบรรยากาศของราชดำเนินผ่านภาพถ่ายของเขาเป็นภาพในเชิงบวก ซึ่งได้กลายมาเป็นภาพที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม เกิดความรู้สึกต้องการมาสัมผัสและรู้จักกับราชดำเนินในมุมมองเดียวกับเขาบ้าง และการเป็นคนหนุ่มในแบบที่เขานิยามตัวเองว่าเป็นวัยรุ่นตอนปลายที่เชื่อมกลางระหว่างคนสองวัยที่แตกต่างกันในปัจจุบัน ทำให้รุจเชื่อว่าภาพถ่ายของเขาจะสามารถเล่าเรื่องความทรงจำของราชดำเนิน โดยนำเสนอให้คนต่างรุ่นต่างวัยได้ผสานความเข้าใจกันได้ไม่ยากนัก

“การที่เราได้มีโอกาสมาเดินดู หรือมาศึกษาข้อมูลในนิทรรศการครั้งนี้ มันน่าสนุกมาก ยิ่งถ้ามีน้องๆ เจน Z เข้ามาดูเขาอาจจะเข้าใจมากขึ้น และจะได้เห็นว่าจริงๆ แล้วประวัติศาสตร์ของเรานั้นมีเรื่องราวน่าสนุกเยอะ และพอดูนิทรรศการเสร็จ ก็สามารถจะออกไปดูของจริงข้างนอกได้เลย ทำให้รู้สึกอินไปกับราชดำเนินได้มากกว่าการดูนิทรรศการทั่วไป” รุจกล่าวทิ้งท้าย

พบกับเรื่องราวความทรงจำของราชดำเนินที่มิวเซียมสยามสร้างสรรค์ขึ้นในมุมมองที่แตกต่างจากผู้คนหลากหลาย ในรูปแบบนิทรรศการที่ทันสมัย เอาใจคนทุกรุ่น ชวนให้เดินชมได้อย่างเพลิดเพลิน และการชมนิทรรศการฯ ยิ่งได้อรรถรสมากขึ้นเพราะตอนนี้มิวเซียมสยามนำไปจัดแสดงในพื้นที่จริงบนถนนราชดำเนิน ณ หอสมุดเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 31 ตุลาคม 2563 เวลา 10.00 – 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์) 

และสามารถติดตามข่าวสารและการลงทะเบียนเข้าชมนิทรรศการได้ที่ www.facebook.com/museumsiamfan

Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก