เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จัดพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและอดีตพระมหากษัตริย์​ พร้อมเดินหน้าถวายแผ่นหินอ่อนแกรนิตสลักพระคาถาฯ และมอบเงินกับหน้ากากอนามัยให้ชาวบ้าน


บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด จัดพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อรำลึกถึงพระองค์ท่านที่ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยา และประกาศอิสรภาพของสยามประเทศพร้อมถวายแผ่นดินให้เป็นพุทธบูชา รวมถึงดวงพระวิญญาณอดีตพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และถวายแผ่นหินอ่อนแกรนิตสลักพระคาถาฯ ให้กับอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช พร้อมมอบเงินและหน้ากากอนามัยชาวธนบุรีและชาวนครปฐม
วันที่ 24 มิถุนยายน 2564 นาวาอากาศเอก (พิเศษ) คัมภีร์ คัมภีรญาณนนท์ ประธานคณะปวงชนชาวไทยเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ประกอบด้วย พลอากาศเอก ธีร์ศิลป์ คัมภีรญาณนนท์ บิดาผู้ก่อตั้งบริษัทฯ , คุณศักย์ศรณ์ คัมภีรญาณนนท์ รองประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายปฏิบัติ , คุณธริชยา คัมภีรญาณนนท์ รองประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการเงิน ที่ปรึกษาอาวุโสของบริษัทฯ ได้แก่ คุณบรรพต โพธิ์ทอง, ดร.เจริญสุข ด้วงล้อมจันทร์ (โพธิ์เงิน), คุณสุริยา โพธิ์เงิน และ คุณศศน์นัธ เทพกิจ รวมทั้ง คุณสุดารัตน์ ขำสกุล หัวหน้าฝ่ายเลขานุการประธานกรรมการบริหาร , เจ้าภูวเนศวร์ ณ เชียงใหม่ และ เจ้าภัทรวรินทร์ ณ เชียงใหม่ เลขานุการประธานกรรมการบริหาร ร่วมงานครั้งนี้ด้วย ได้ร่วมพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และถวายแผ่นหินอ่อนแกรนิตสลักพระคาถาฯ ให้กับอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ณ อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ เขตธนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร พระตำหนักแดง วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารและวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม


นาวาอากาศเอก(พิเศษ)คัมภีร์ คัมภีรญาณนนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด และประธานคณะปวงชนชาวไทยเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ประธานในพิธี เปิดเผยว่า ช่วงเช้าได้มีการไปถวายพานพุ่มพร้อมเครื่องบวงสรวงเพื่อบวงสรวงดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผู้ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยา และประกาศอิสรภาพ ของสยามประเทศพร้อมถวายแผ่นดินให้เป็นพุทธบูชา นอกจากนี้ยังนำแผ่นหินอ่อนแกรนิตสลักพระคาถาสักการะบูชาพระเจ้าตากสินมหาราชมาถวายที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ เขตธนบุรี และพระตำหนักแดง วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารเพื่อให้ประชาชนที่มากราบสักการะบูชาได้ใช้สวดต่อไป โดยมีตั้งใจจะนำถวายแผ่นหินอ่อนแกรนิตสลักพระคาถาฯ ให้กับอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชทั่วประเทศ

นาวาอากาศเอก(พิเศษ)คัมภีร์ ได้กล่าวถึงกิจกรรมในช่วงเย็นที่วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ว่า ช่วงเย็นมีกิจกรรมพิธีบวงสรวงใหญ่ โดยมีหลวงพี่น้ำฝนเป็นประธานฝ่ายสงฆ์และมีตนเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ซึ่งพิธีนี้จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวมถึงพระวิญญาณอดีตพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และในวันที่ 24 มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันสำคัญสำหรับการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอีกด้วย

ท้ายสุดนี้ นาวาอากาศเอก(พิเศษ)คัมภีร์ ได้กล่าวฝากถึงคนไทยว่า อยากให้คนไทยทุกคนรู้รักสามัคคีกันไว้ อยากให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจที่แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินของพระพุทธศาสนา ใช้โอกาสนี้มาทำบุญให้เต็มที่ และอยากให้เด็กๆ เป็นคนดี มีคุณธรรมจริยธรรม และตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตของชาติ

ภายในงานมีเน็ตไอดอลชื่อดัง Gibbi และKiikimmm ให้เกียรติรวมงานพิธีนี้ด้วย และนอกจากนี้ยังมีการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนจำนวน 5 ทุนๆ ละ 1,000 บาทพร้อมกับหน้ากากอนามัยจำนวน 10 ชิ้น ได้แก่ด.ช.ธนกร จิตรอักษร,ด.ช.ชิษณุพงศ์ แผ้วเกษม, ด.ญ.อิงอร แสงขำ, ด.ช.ณัฏฐกิตติ์ แตงสารท และด.ญ.ภัทราพร บุตรชุนช่วงเย็น, มอบเงินจำนวน 5,000 บาทพร้อมกับหน้ากากอนามัยจำนวน 300 ชิ้นให้กับมูลนิธิหลวงพ่อพูลคนพิการ มอบเงินจำนวน 5,000 บาท พร้อมกับหน้ากากอนามัยจำนวน 300 ชิ้นให้กับกองทุนผู้สูงอายุ วัดไผ่ล้อม และมอบเงินจำนวน 30,000 บาทพร้อมหน้ากากอนามัยจำนวน 2,500ชิ้นให้กับกองทุนสวด เผา ฟรี วัดไผ่ล้อม 

มอบหน้ากากอนามัยจำนวน 2,500 ชิ้นให้กับตัวแทนจากสำนักเขตธนบุรี และตัวแทนจากชุมชนได้แก่คุณศิวรินทร์ จำปานันท์ ชุมชมมัสยิดบ้านสมเด็จ และคุณมณีรัตน์ ขจรกาณจนรัตษ์ชุมชมสี่แยกบ้านแขก เป็นผู้รับมอบพร้อมกับพนักงานในโครงการ SKYMED NEW GEN ได้เดินแจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนบริเวณรอบอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และมอบหน้ากากอนามัยจำนวน 600 ชิ้นให้กับชาวบ้าน 5 ชุมชน โดยมีตัวแทนแต่ละชุมชนเป็นผู้รับมอบ ได้แก่ คุณสมชาย เจริญสุข ประธานชุมชนบ้านมอญ, คุณอมรรัตน์ แซ่ลิ้ม ประธานชุมชนสวนอนันต์, คุณรัตนา ศรีจันทร์ อสม.กรรมการชุมชนไผ่เตย, คุณสุรีย์ เก่งชูวงศ์ อสม.กรรมการชุมชนคตกฤช และคุณสมศรี แซ่ลิ้ม อสม.กรรมการชุมชนมะขามแถว

#หลวงพ่อพูล #หลวงพี่น้ำฝน #วัดไผ่ล้อมนครปฐม #บวงสรวง #พระเจ้าตาก #สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช #SKYMED #เมืองเศรษฐกิจพอเพียง #คณะปวงชนชาวไทย #SKYNEWGEN #SKYTIME


Share:

ผลิตภัณฑ์ Ginseng Micellar Cleansing Water เผยเคล็ดลับสวยจบ ครบสูตรในหนึ่งเดียว ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!!

สงสัยกันไหมว่า ?? พอเริ่มอายุมากขึ้นก็มักจะมีปัญหาต่างๆ เข้ามาทำลายผิวพรรณกันมากขึ้น โดยปกติร่างกายของเรานั้นสามารถผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่สำหรับผู้ที่มีอายุมากขึ้น สภาพผิวก็ถูกทำลาย ผิวไม่เต่งตึง เพราะคอลลาเจนเริ่มลดลง  และอาหารผิวเพื่อเติมเต็มความแข็งแรง ให้กับชั้นผิวก็คือ คอลลาเจน และด้วย

ผลิตภัณฑ์ Ginseng Micellar Cleansing Water เผยเคล็ดลับ ให้ความหมดจด ในการทำความสะอาดผิว ที่สามารถชำระล้างเมคอัพแบบกันน้ำ สารกันแดด และมลภาวะได้อย่างหมดจด

สาวๆ ที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ ที่ทำความสะอาดผิวหมดจด ไม่แสบตา พร้อมบำรุงผิว มาทางนี้ค่ะ  ลองสัมผัสกับ Ginseng Micellar Cleansing Water แล้วคุณจะรู้สึกถึงความแตกต่างไปจากเดิม และยังมีคุณสมบัติ ช่วยชะลอความเสื่อมของเนื้อเยื่อต่างๆ ลดเลื่อนริ้วรอยแห่งวัย สวยจบ ครบสูตรในหนึ่งเดียว

ห้ามพลาด ความสวยของผิวที่คุณเลือกได้   

วันนี้สามารถ ซ็อปผ่านช่องทางออนไลน์  ที่ Fecbook /amherbthailand   หรือ  shopee.co.th/amherb_officialshop

Share:

“กองทุนสื่อฯ” จับมือ “นิด้า” นำเสนองานวิจัย “Quality Rating” หวังต่อยอดเป็นเกณฑ์วัด “สื่อคุณภาพ”

ทีมนักวิจัยจาก “นิด้า” นำเสนองานวิจัย “Quality Rating” ตั้งเป้ามุ่งสร้างแนวทางการวัดเรตติ้งแบบใหม่เพื่อวัด “คุณภาพ” ของรายการทีวี ภายใต้การเก็บข้อมูลทั้งจากผู้ชมและโลกออนไลน์ ด้าน “กองทุนสื่อฯ” หวังนำผลจากงานวิจัยไปต่อยอดสร้างระบบการวัดเรตติ้งแบบใหม่ที่เน้นเรื่องคุณภาพรายการ หลังระบบเรตติ้งปัจจุบันเน้นแต่จำนวนยอดผู้ชม

กรุงเทพมหานคร 21 มิถุนายน 2564 – โครงการวิจัยการพัฒนาระบบการวัดคุณภาพของสื่อที่นำเสนอต่อสังคม (Quality Rating) โดยการสนับสนุนของ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้จัดการเสวนาออนไลน์ “เวทีเสวนาเพื่อการพัฒนาระบบการวัดคุณภาพของสื่อที่นำเสนอต่อสังคม (Quality Rating)” พร้อมด้วย “พิธีมอบใบรับรองให้แก่รายการที่เข้าร่วมโครงการวิจัยการพัฒนาระบบการวัดคุณภาพของสื่อที่นำเสนอต่อสังคม” ขึ้น โดยมีคณะผู้วิจัย ตัวแทนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และตัวแทนจากรายการต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ เข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้

การจัดเวทีเสวนาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการวิจัยการพัฒนาระบบการวัดคุณภาพของสื่อที่นำเสนอต่อสังคม (Quality Rating)” มีขึ้นเพื่อให้ตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับงานวิจัยดังกล่าว รวมทั้งมีการทำพิธีมอบรางวัลให้กับรายการข่าว และรายการเพื่อเด็ก เยาวชนและครอบครัว รวม 6 รายการ ที่ตกลงเข้าร่วมรับการประเมินคุณภาพรายการ ในขั้นตอนการทดลองใช้เกณฑ์ประเมินคุณภาพกับรายการจริง จนได้ผลการประเมินคุณภาพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยดังกล่าว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ นิด้า และหัวหน้าโครงการวิจัยการพัฒนาระบบการวัดคุณภาพของสื่อที่นำเสนอต่อสังคม (Quality Rating) เปิดเผยถึงที่มาของโครงการวิจัยว่า ศูนย์บริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ โดยมีบริษัท Backyard จำกัด เป็นผู้ช่วยด้านการเก็บข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ และได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ภายใต้เป้าหมายที่ต้องการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับระบบการวัดคุณภาพของสื่อ หรือ Quality Rating เพื่อนำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบว่าการประเมินคุณภาพสื่อคืออะไร และเหตุใดเรื่องดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ควรนำมาใช้กับการวัดเรตติ้งรายการในประเทศไทย รวมทั้งค้นหาวิธีการสร้างหลักเกณฑ์สำหรับใช้ในการประเมินคุณภาพของรายการโทรทัศน์ในอนาคต   

”การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตัวชี้วัดในการวัดคุณภาพของสื่อ แล้วนำเกณฑ์ดังกล่าวไปทดลองใช้ประเมินคุณภาพรายการในสองกลุ่ม ได้แก่ รายการข่าว และรายการเพื่อเด็ก เยาวชนและครอบครัว ที่เข้าร่วมโครงการ ก่อนจะนำผลการศึกษาที่ได้มาเปิดรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรายการที่เข้าร่วมโครงการ นักวิชาการ นักวิชาการ องค์กรกำกับดูแลสื่อ และผู้ผลิตสื่อ จากนั้นจึงนำข้อคิดเห็นและคำแนะนำที่ได้มาสรุปผลการวิจัย และนำเสนอต่อกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดการนำเกณฑ์ดังกล่าวไปใช้จริงอย่างเป็นรูปธรรม” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนัญสรา กล่าว 

ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวถึงบทบาทการสนับสนุนโครงการวิจัยว่า
การศึกษาวิจัยดังกล่าวเป็นหัวข้อที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2561 - 2565) ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ในการพัฒนาสื่อและนิเวศสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยจะเป็นทั้งองค์ความรู้และนวัตกรรมสื่อที่สำคัญในอนาคต รวมทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การสร้างระบบการวัดเรตติ้งเชิงคุณภาพให้เกิดขึ้นได้จริง

“แวดวงสื่อสารมวลชนของไทยมีการหารือกันเกี่ยวกับประเด็นการวัดคุณภาพของสื่อหรือ Quality Rating ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีองค์กรกลาง หรือเครื่องมือสำหรับใช้วัดคุณภาพของสื่อในประเทศมาอย่างยาวนาน เนื่องจากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการวัดเรตติ้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้ความสำคัญการวัดปริมาณของผู้ชมรายการเพียงอย่างเดียว เพราะตัวเลขดังกล่าวมีผลต่อการทำการตลาดหรือการลงโฆษณา ทำให้สื่อต่างๆ ตั้งเป้าผลิตรายการโดยมุ่งไปที่การได้เรตติ้งและความนิยมจากผู้ชมรายการเป็นหลัก จนละเลยความสำคัญของการผลิตรายการให้มีเนื้อหาที่ดีและมีคุณภาพไป  ทางกองทุนฯ หวังว่าการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ จะนำไปสู่การเกิดขึ้นของระบบการวัดคุณภาพของสื่อที่สามารถใช้งานได้จริง รวมทั้งนำไปสู่การผลักดันให้ระบบการวัดคุณภาพ ถูกนำไปใช้เป็นเกณฑ์สำคัญในการวัดเรตติ้งของสื่อในประเทศต่อไป” ดร.ธนกร กล่าวทั้งนี้ในการเสวนา ผู้เข้าร่วมการเสวนาได้แสดงความคิดเห็นถึงแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาระบบการวัดคุณภาพของสื่อ เพื่อให้เกิดการนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคต โดย ดร.โชคชัย เอี่ยมฤทธิไกร Group Director : Online Business and Ticketing บริษัท TERO Entertainment กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ผลิตสื่อต่างก็มีช่องทางที่จะติดตามดูผลตอบรับจากผู้ชมรายการ แต่ยังขาดคนกลางที่จะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมด พร้อมทั้งทำการประเมินและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เห็นผลในภาพรวมจากหลายแพลตฟอร์ม ส่วน คุณนพดล ศรีหะทัย บรรณาธิการบริหาร รายการข่าวค่ำมิติใหม่ทั่วไทย ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานกลางสำหรับการวัดคุถภาพของรายการ แต่ถ้ากองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จะรับหน้าที่ดังกล่าว เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะทุกสื่อต้องการระบบที่เป็นมาตรฐานกลางสำหรับการประเมินคุณภาพอยู่แล้ว ด้าน คุณรินรดา รวีเลิศ ผู้ประกาศข่าวและบรรณาธิการข่าว ช่องเวิร์คพอยท์ กล่าวว่า หากการวัดคุณภาพสื่อเกิดขึ้น จะเป็นข้อมูลอีกด้านสำหรับสื่อ นอกเหนือจากการวัดเรตติ้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และเป็นข้อมูลที่รายการสามารถนำมาใช้พัฒนาคุณภาพของรายการให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ ในปัจจุบันผู้ชมมีการชมรายการจากแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น จึงอยากให้การวัดคุณภาพมีการวัดจากทุกแพลตฟอร์มเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจน ขณะที่ คุณนนยนฎฐ จงจรูญ Strategy Marketing Manager ฝ่ายข่าวช่องวัน 31 ให้ความเห็นว่า หากนำระบบการวัดคุณภาพสื่อมาใช้จริง ควรทำการประเมินคุณภาพรายการจากทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการออกอากาศทางโทรทัศน์ การชมผ่านช่องทางออนไลน์ และการสำรวจจากกลุ่มผู้ชม เพื่อให้ได้คำตอบว่ารายการที่ผู้ชมชอบหรือไม่ชอบนั้นเกิดจากอะไร ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตรายการสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปปรัปปรุงให้รายการมีคุณภาพมากขึ้น

คุณวิไลภรณ์ จงกลวัฒนา ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและครอบครัว องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
เห็นว่าที่ผ่านมาผลการวัดเรตติ้ของรายการเด็กจะมีจำนวนผู้ชมค่อนข้างน้อยมาโดยตลอด เนื่องจากการไม่ใช่รายการยอดนิยม และรายการเด็กยังแบ่งตามช่วงอายุ เรตติ้งที่ได้จึงอาจไม่ได้วัดจากผู้ที่ชมรายการจริงๆ การนำระบบการวัดคุณภาพสื่อมาใช้จะช่วยให้รายการเด็กได้รับผลการประเมินคุณภาพที่เป็นจริงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะว่า เพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจน ควรมีการแบ่งแยกช่วงอายุของผู้ชมรายการในขั้นตอนการวัดคุณภาพด้วย ด้าน คุณชำนาญ งามมณีอุดม ผู้เชี่ยวชาญ รักษาการแทนผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและยุทธศาสตร์ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ระบบการวัดคุณภาพสื่อเป็นสิ่งที่กองทุนฯ จะหาทางพัฒนาต่อเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ เพราะทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า ระบบการวัดเรตติ้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งเน้นผลเชิงปริมาณนั้นยังไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะทำให้ระบบการวัดคุณภาพสื่อหรือ Quality Rating เป็นจริงได้นั้น จำเป็นต้องผลักดันให้เรื่องดังกล่าวเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง โดยเฉพาะการทำให้สังคมเกิดการยอมรับและทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของระบบการวัดคุณภาพสื่อและการมีสื่อคุณภาพ เพราะถ้าประชาชนยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ก็ยากที่การวัดคุณภาพสื่อจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้

Share:

เดอะเฟสช็อป ร่วมสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จัดแคมเปญมอบสิทธิพิเศษให้ผู้ได้รับวัคซีน – บุคลากรทางการแพทย์

 

เดอะเฟสช็อป (THE FACE SHOP) ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 และเชิญชวนให้คนไทยฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว โดยได้จัดแคมเปญมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพียงแสดงบัตรรับรองการฉีดวัคซีน รับฟรีผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองที่เหมาะกับสภาพผิว จำนวน 2 ชิ้น ต่อ 1 ท่าน พร้อมมอบสิทธิพิเศษเพื่อเป็นการขอบคุณและส่งต่อกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ หรือพนักงานทางการแพทย์ ที่เป็นหน้าด่านเสียสละและทุ่มเทดูแลผู้ป่วยโควิด-19 เพียงแสดงบัตรประจำตัวเพื่อยืนยันสิทธิ์ ก็สามารถรับฟรีผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองที่เหมาะกับสภาพผิว จำนวน 2 ชิ้น ต่อ 1 ท่าน ได้เช่นกัน

ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคม 2564 หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ณ ร้านเดอะเฟสช็อป ทุกสาขาทั่วประเทศ สำหรับผู้สนใจสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่เดอะเฟสช็อปทุกสาขาและสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ www.thefaceshopthailand.com หรือ Line ID: @thefaceshop.th / Lazada และ Shopee 

 

Share:

นิตยสาร Time Out เผย 30 อันดับถนนที่เจ๋งที่สุดในโลกตอนนี้

Time Out แบรนด์สื่อและการบริการระดับโลก เปิดตัวรายชื่อถนนที่เจ๋งที่สุดในโลก (World's Coolest Streets) เป็นครั้งแรก ซึ่งจากรายชื่อถนน 30 อันดับนั้น ถนนในเมลเบิร์นได้ครองอันดับหนึ่ง โดยมีถนนในบาร์เซโลนา, ลอนดอน, ฮาวานา และลอสแอนเจลิสไต่อันดับตามมาติดๆ

James Manning บรรณาธิการนานาชาติของ Time Out กล่าวว่า “การจัดอันดับรายชื่อถนนที่เจ๋งที่สุดในโลกครั้งแรกของเรา เป็นการเฉลิมฉลองให้กับบรรดาสุดยอดธุรกิจและชุมชนในท้องถิ่นที่ทำให้เมืองและถนนของเราน่าตื่นตาตื่นใจ พวกเขาทำให้เราผ่านปีที่แล้วมาได้ และการสนับสนุนพวกเขาในขณะที่โลกเริ่มกลับสู่ภาวะปกตินั้นก็สำคัญยิ่งกว่าที่เคย ชีวิตบนท้องถนนคือที่ที่คุณสามารถมองเห็นอนาคตเมืองของเราได้ นับตั้งแต่การทานอาหารข้างนอกไปจนถึงวัฒนธรรมกลางแจ้ง เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม และถนนสายเหล่านี้ก็เป็นสถานที่สร้างสังคมในขณะที่เราเริ่มกิน ดื่ม และพบปะสังสรรค์กันอีกครั้ง"

รายชื่อถนนเหล่านี้คัดเลือกจากความคิดเห็นของชาวเมืองผ่านดัชนี Time Out Index ประจำปีของแบรนด์ ซึ่งเป็นการสำรวจคนในท้องถิ่นมากกว่า 27,000 คนทั่วโลกที่ถูกขอให้เสนอชื่อถนนที่เจ๋งที่สุดในเมืองของตัวเอง ขณะที่เครือข่ายระหว่างประเทศของ Time Out ซึ่งได้แก่ บรรณาธิการและผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นมากกว่า 100 คนได้พิจารณาปัจจัยด้านอาหาร, เครื่องดื่ม, ศิลปะ, วัฒนธรรม, สถานบันเทิงยามค่ำคืน และบรรยากาศของชุมชนตลอดปีที่ผ่านมาเพื่อจัดอันดับรายชื่อถนนดังกล่าว

1. Smith Street, เมลเบิร์น
2. Passeig de Sant Joan, บาร์เซโลนา
3. South Bank, ลอนดอน
4. San Isidro, ฮาวานา
5. Sunset Boulevard, ลอสแอนเจลิส
6. Witte de Withstraat, รอตเทอร์ดาม
7. Rua Três Rios, เซาเปาโล
8. Haji Lane, สิงคโปร์

9. Rua Rodrigues de Faria, ลิสบอน
10. Calle Thames, บัวโนสไอเรส
11. Křižíkova Ulice, ปราก
12. 7th Street, Melville, โจฮันเนสเบิร์ก
13. Cat Street, โตเกียว
14. 30th Avenue, นิวยอร์ก
15. Levinsky Street, เทลอาวีฟ
16. Milwaukee Avenue, ชิคาโก
17. Gran Vía, มาดริด
18. Calle Ocho, ไมอามี
19. King Street, ซิดนีย์
20. Rua de Miguel Bombarda, ปอร์โต
21. Paseo de la Reforma, เม็กซิโก ซิตี้
22. Main Road, Kalk Bay, เคปทาวน์
23. Alserkal Avenue, ดูไบ
24. Rue Tiquetonne, ปารีส
25. Mariannenstraße, เบอร์ลิน
26. Calle José Gálvez, ลิมา
27. Seaport Boulevard, บอสตัน
28. Jaegersborggade, โคเปนเฮเกน
29. Allen Avenue, เลกอส
30. Star Street, ฮ่องกง

ดูเพิ่มเติมว่า Time Out กล่าวถึงถนนเส้นโปรดของคุณว่าอย่างไรได้ที่ https://www.timeout.com/things-to-do/coolest-streets-in-the-world

Time Out Names the Coolest Streets in the World Right Now

LONDON, June 10, 2021

Today, Time Out, the global media and hospitality brand debuts its first-ever list naming the World's Coolest Streets. The top 30 streets listed includes a street in Melbourne crowned number one – with Barcelona, London, Havana and LA narrowly missing out on the top spot.

"Our first ever World's Coolest Streets list celebrates the great local businesses and communities that make our cities and streets exciting," said James Manning, International Editor of Time Out. "They have kept us going through the past year and it's more important than ever to support them as the world begins reopening. From outdoor dining to open-air culture, street life is where you can glimpse the future of our cities. Humans are social creatures and these streets are the places to be as we start eating, drinking and socializing together once again."

The list was formed from the opinions of city residents via the brand's annual Time Out Index: a global survey of more than 27,000 locals who were each asked to nominate their city's coolest street. To rank the list, Time Out's international network of more than 100 local editors and experts factored in food, drink, art, culture, nightlife and community vibes over the past year.

1. Smith Street, Melbourne
2. Passeig de Sant Joan, Barcelona
3. South Bank, London
4. San Isidro, Havana
5.  Sunset Boulevard, Los Angeles
6. Witte de Withstraat, Rotterdam
7. Rua Três Rios, São Paulo
8. Haji Lane, Singapore
9. Rua Rodrigues de Faria, Lisbon
10. Calle Thames, Buenos Aires
11. Křižíkova Ulice, Prague
12. 7th Street, Melville, Johannesburg
13. Cat Street, Tokyo
14. 30th Avenue, New York
15. Levinsky Street, Tel Aviv
16. Milwaukee Avenue, Chicago
17. Gran Vía, Madrid
18. Calle Ocho, Miami
19. King Street, Sydney
20. Rua de Miguel Bombarda, Porto
21. Paseo de la Reforma, Mexico City
22. Main Road, Kalk Bay, Cape Town
23. Alserkal Avenue, Dubai
24. Rue Tiquetonne, Paris
25. Mariannenstraße, Berlin
26. Calle José Gálvez, Lima
27. Seaport Boulevard, Boston
28. Jaegersborggade, Copenhagen
29. Allen Avenue, Lagos
30. Star Street, Hong Kong

Find out what Time Out said about your favorite street here.

Share:

โรงแรมและรีสอร์ทระดับโลกในภูเก็ต เตรียมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ด้วยแพ็คเกจสุดพิเศษ!

ภูเก็ต ประเทศไทย – สิ้นสุดการรอคอย! “ภูเก็ต” พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศกลับมาในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ภายใต้โครงการ "Phuket Sandbox" โดยโรงแรมและรีสอร์ททั่วเกาะได้จัดโปรโมชั่นและแพ็คเกจสุดพิเศษ คุ้มค่าน่าดึงดูด และเป็นของขวัญสำหรับการกลับมาสู่ "ไข่มุกแห่งอันดามัน" อีกครั้ง...รวมข้อเสนอที่น่าสนใจล่าสุดของในโรงแรมและรีสอร์ทระดับโลกของภูเก็ต:

รีสอร์ท 5 ดาว คอนเซปต์อาร์ตฝีมือการออกแบบโดย
บิล เบนลียส์ นักออกแบบโรงแรมชื่อดังก้องโลก จัดแพ็คเกจ “Summer Sandbox” เข้าพัก 6 คืน ฟรี 1 คืน (รวมเป็น 7 คืน) รวมสิทธิพิเศษอัปเกรดห้องพัก ค็อกเทลต้อนรับ บริการรับส่งสนามบินไป-กลับ อาหารเช้าทุกวัน และส่วนลด 15% สำหรับอาหาร เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และสปาทรีทเมนท์ตลอดการเข้าพัก 
พิเศษมากขึ้นสำหรับผู้ที่จอง Private Pool Suites จะได้รับบริการนวด 60 นาทีสำหรับสองท่าน ที่ Coqoon Spa และบริการนวด Coqoon Rebirth 120 นาทีสำหรับสองท่าน สำหรับผู้จองห้อง Pearl Shell Suites และ Pool Villa อันหรูหรา สามารถยกเลิกการจองได้ฟรีจนถึง 48 ชั่วโมงก่อนเดินทางมาถึง เข้าพักได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ราคาเริ่มต้นที่ 5,000 บาทต่อห้องต่อคืน www.theslatephuket.com

แบรนด์โรงแรมชั้นนำสัญชาติไทยเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศด้วยโปรโมชั่นราคาเร้าใจด้วยข้อเสนอ พัก 3 คืน จ่าย 2 คืน” หรือ “พัก 6 คืน จ่าย 4 คืน” และ “พัก 9 คืน จ่ายเพียง 6 คืน กับตัวเลือกโรงแรมเซ็นทาราทั้ง 7 แห่งในภูเก็ต อาทิ เซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท ภูเก็ต (Centara Grand Beach Resort Phuket) หรือ ไม้ขาว ดรีม วิลล่า แอนด์ สปา เซ็นทารา บูติค คอลเลกชัน (Maikhao Dream Villa Resort & Spa, Centara Boutique Collection) พร้อมเครดิตโรงแรม 100% รายวันฟรี แลกได้ทันทีเมื่อเช็คอินสำหรับการอัพเกรดห้องพัก อาหารเลิศล้ำ เครื่องดื่มแสนสดชื่น สปาทรีตเมนต์ และอีกมากมาย! เปิดให้จองตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 31 สิงหาคม 2564 และเข้าพักได้ภายในวันที่ 23 ธันวาคม 2564 www.centarahotelsresorts.com

โฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน ภูเก็ต ป่าตอง บีช รีสอร์ท (Four Points by Sheraton Phuket Patong Beach Resort)  โรงแรมริมหาดป่าตองสุดชิค เตรียมต้อนรับผู้มาเยือนจากต่างประเทศเป็นครั้งแรก! ด้วยโปรโมชั่น “Phuket Summer Love” พร้อมให้จองแล้ว และเข้าพักก่อนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 เริ่มต้นเพียง 2,300++ บาทต่อคืน รวมอาหารเช้าทุกวัน เครื่องดื่มไม่จำกัด 1 ชั่วโมง สำหรับ 2 ท่าน ที่ “เดอะเด็คบีชคลับ” ฟรีบริการสระว่ายน้ำ ยิม คิดส์คลับ และ Wi-Fi ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.fourpointsphuketpatong.com

ทราย ลากูน่า ภูเก็ต (SAii Laguna Phuket) รีสอร์ทแบรนด์น้องใหม่ของเครือ S Hotels & Resorts เปิดให้บริการครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มอบข้อเสนอ "Phuket Sandbox" โปรโมชั่นห้องพักพร้อมอาหารเช้าทุกวันสำหรับผู้เข้าพัก 2 ท่าน ส่วนลด 25% สำหรับอาหารและเครื่องดื่มและบริการซักรีด และอาหารฟรีสำหรับเด็กไม่เกิน 2 คน (เมื่อพักห้องเดียวกับผู้ใหญ่) เข้าพัก 7 คืน ฟรีอาหารกลางวันหรืออาหารเย็นแบบ 3 คอร์สสำหรับสองคน บริการรับส่งสนามบิน เช็คอินก่อนเวลา 10.00 น. และเช็คเอาท์หลังเวลา 16.00 น. ราคาเริ่มต้นเพียง 2,999 บาทต่อคืน! จองและเข้าพักตั้งแต่วันนี้ - 23 ธันวาคม 2564 www.saiiresorts.com/phuket/laguna

อังสนา ลากูน่า ภูเก็ต (Angsana Laguna Phuket) จัดโปรฯ “Your Stay, Your Choice” แพ็คเกจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จองที่พัก 2 คืนขึ้นไป จะได้รับอาหารเช้าประจำวันสำหรับผู้เข้าพักสูงสุด 6 คน (ขึ้นอยู่กับประเภทห้อง) เครดิตโรงแรมสุทธิ 1,000 บาทต่อห้องต่อการเข้าพัก และกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พายเรือแคนู จองได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 30 กันยายน 2564 และเข้าพักภายในวันที่ 24 ธันวาคม 2564 ราคาเริ่มต้นเพียง 2,700 บาทสุทธิต่อห้องต่อคืน สำรองห้องพักอีเมล reservations-villasresort@angsana.com



Share:

ททท. เดินหน้าฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวยุคดิจิทัล (Empowering Tech Tourism)

กรุงเทพฯ 18 มิ.ย. 2564 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย เปิดตัว “โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวยุคดิจิทัล (Empowering Tech Tourism)” โครงการที่จะช่วยฟื้นฟู ส่งเสริมและสร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง โดยความร่วมมือจาก ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผู้พัฒนานวัตกรรม และนักลงทุน ที่เป็น 3 ภาคส่วนสำคัญที่จะร่วมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจให้เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป

ภายในงานแถลงข่าวพิธีเปิด “โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวยุคดิจิทัล (Empowering Tech Tourism)” ได้รับเกียรติจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน และการจัดเสวนาในหัวข้อ “แนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล” โดยมี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรมสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ดร.ชาญวิทย์ ตรีเดช ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TEDFund) และ ดร.เปาว์ ศรีประเสริฐสุข SVP ผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรม ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาผ่านการถ่ายทอดสดจากโรงแรม Lancaster Bangkok ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “ในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยี หรือ Technology Disruption ซึ่งส่งผลต่อทุกอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผนวกกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เช่นในปัจจุบัน จึงเป็นสิ่งเร่งรัดให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ และเราจะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยมีภูมิต้านทานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงต้องสร้างเครื่องมือหรือระบบนิเวศที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้เข้าสู่ชีวิตปกติใหม่ วิถีการท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อลด ต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวยุคดิจิทัล (Empowering Tech Tourism) นี้จึงถือเป็นอีกโครงการที่ช่วยฟื้นฟูผู้ประกอบการการท่องเที่ยวให้พัฒนาศักยภาพของธุรกิจโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ทันที ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความแข็งแรงให้แก่ผู้พัฒนานวัตกรรมที่เข้าร่วมโครงการและเชิญชวนนักลงทุนเข้าร่วมโครงการเพื่อจับคู่ทางธุรกิจกับนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวเพื่อสร้างระบบนิเวศของการท่องเที่ยวในยุคปกติใหม่ นับเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะช่วยระดมกำลังกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้พร้อมสู่ยุคดิจิทัล เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนพร้อมรับมือกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ”

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ถึง 3 ระลอก ผู้ประกอบการบางรายต้องหยุดกิจการชั่วคราว บางรายต้องเลิกกิจการไป และอีกจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่ต้องหยุดชะงัก ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมฯ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ ททท. ต้องเร่งฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัวด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการ เพิ่มคุณค่าและมูลค่าด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงภายใต้วิถีใหม่ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวให้ฟื้นคืนกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมบนพื้นฐานของปลอดภัยและความยั่งยืน

โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวยุคดิจิทัล Empowering Tech Tourism จึงเป็นความ ร่วมมือระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ผู้พัฒนาด้านนวัตกรรม และนักลงทุนที่จะช่วยกันเสริมศักยภาพของการท่องเที่ยวไทยให้ก้าวไกลในยุคดิจิทัล โดยการพัฒนา Digital Platform ภายใต้ชื่อ www.empoweringtechtourism.com ที่รวบรวมผู้พัฒนานวัตกรรมด้านการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านนวัตกรรมของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว นำเสนอให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนำนวัตกรรมไปใช้งานเพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจของตนเองให้เข้ากับยุคดิจิทัล พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ใช้เป็นช่องทางในการเลือกลงทุนในนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยว อันจะเป็นการสร้างการเติบโตให้แก่ผู้พัฒนานวัตกรรมต่อไป

โครงการนี้เราได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมท่องเที่ยวต่าง ๆ , ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai), กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TEDFund), กลุ่มธนาคาร อาทิ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank), ธนาคารกรุงเทพ รวมถึงนักลงทุนจากสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนส่วนบุคคล ทาง ททท. ต้องขอขอบคุณทุก ๆ หน่วยงานที่ให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลในครั้งนี้”

พร้อมกันนี้โครงการฯ ยังมีการจัดงานนวัตกรรมไทยพบผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ, จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ประกอบการในพื้นที่ ภายในงานประกอบไปด้วยการสัมมนาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คลีนิกให้คำปรึกษาเพื่อผู้ประกอบการ และการจับคู่ทางธุรกิจ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารของโครงการได้ที่ www.empoweringtechtourism.com และ www.facebook.com/empoweringtechtourism

Share:

ททท.เสนอผลสำรวจ 7 อันดับ ความต้องการ ของคนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เร่งสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ภายหลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอกล่าสุด เพื่อให้ทราบถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวทั่วประเทศต้องการความช่วยเหลือ โดยช่วงที่ผ่านมา ททท. ได้จัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นของบรรดาผู้ประกอบการในภาคธุรกิจท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 4-31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 พบ 7 อันดับเร่งด่วน ที่ผู้ประกอบการต้องการได้รับการเยียวยา 

  • อันดับแรกคือ ให้มีมาตรการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ 16.63%  
  • อันดับสอง จัดทำมาตรการช่วยเหลือแรงงานในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ จำนวน 15.37% 
  • อันดับสาม ยกเว้นค่าธรรมเนียมภาษีบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยว 15.27% 
  • อันดับสี่ จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและบริการ 14.26% 
  • อันดับห้า กระตุ้นอุปสงค์การท่องเที่ยวในประเทศ 14.18% 
  • อันดับหก ให้สถาบันการเงินพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว 12.39% 
  • อันดับเจ็ด กระตุ้นอุปสงค์การเดินทางของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 11.90%

พร้อมกันนั้น ผู้ประกอบการยังได้เสนอแนะในรายละเอียดของความต้องการความช่วยเหลือ โดยในประเด็นของข้อเสนอการสนับสนุนทางการเงิน การลดดอกเบี้ย และการพักชำระหนี้ นั้นภาครัฐอาจจะจัดทำโครงการต่างๆ อาทิ การช่วยค่าแรงคนละครึ่งกับผู้ประกอบการ การจัดวงเงินกู้พิเศษ อัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือปลอดดอกเบี้ย ที่ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้ง่าย หรือการทำโครงการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการ

ในประเด็นของแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการต้องการให้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน อาทิ ให้มีการจัดสัมมนาและอบรมแรงงานในด้านต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการกลับมาให้บริการอีกครั้ง รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ อาทิ การปรับเปลี่ยนขั้นตอนการเดินทางระหว่างประเทศให้คล่องตัวมากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้การเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ให้ภาครัฐจัดโครงการพิเศษกระตุ้นการเดินทางในประเทศ และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้มีโอกาสเข้าร่วมเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กลับมาได้เร็วขึ้น 

 ซึ่งความต้องการการเยียวยาของผู้ประกอบการไทยในภาคการท่องเที่ยวนั้น ททท. จะได้ดำเนินการโดยการนำโจทย์ความต้องการนี้นำเสนอเป็นแผนการเยียวยาเร่งด่วน เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลให้มีการพิจารณาจัดทำมาตรการเพื่อตอบสนองของผู้ประกอบการอย่างเป็นรูปธรรมในเร็วๆ นี้

Share:

“ข้าวกอระ” ฮึดสู้ฝ่าวิกฤติเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น พร้อมลุยเจาะตลาดใหม่ธุรกิจข้าวแปรรูปเสริมแกร่งธุรกิจ

“ข้าวกอระ” ฮึดสู้ฝ่าวิกฤติ  เร่งเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น พร้อมปรับกลยุทธ์ทางด้านการตลาด  ชูธุรกิจกลุ่มข้าวและผลิตภัณฑ์Rice Crackers และซีเรียลอาหารสุขภาพ  มุ่งเจาะตลาดคนรักสุขภาพทั้งในและต่างประเทศ ชี้เป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง  เชื่อมั่นช่วยฟื้นฟูธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้นในอนาคต  

นางสาวกรชวัล    สมภักดี   ประธานกรรมการบริหารบริษัท กอระ  เอ็นเตอร์ไพร์ซ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า  แม้ที่ผ่านมาบริษัทฯจะประสบปัญหาวิกฤติทางธุรกิจในหลายด้านรวมทั้งวิกฤติที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้าในการดำเนินธุรกิจผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และจำหน่ายนวัตกรรมการเกษตรภายใต้แบรนด์“กอระ”อย่างต่อเนื่อง  รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวไทยด้วยนวัตกรรมในรูปแบบขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มาจากข้าวทุกสายพันธุ์   เพื่อมุ่งยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากข้าวไทยและส่งเสริมสุขภาพให้กับผู้บริโภคทั้งในละต่างประเทศ      

ทั้งนี้  เป็นที่ทราบดีกว่าบริษัทกอระฯนั้น  เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ที่เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิออร์แกนิคที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่ผ่านมาได้ผนึกความร่วมมือหลายด้านกับชาวนาในพื้นที่ภาคอีสานผ่านโครงการมากมาย อาทิ   โครงการขยายคลัสเตอร์แปลงนาข้าวหอมมะลิออร์แกนิคโดยได้ตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปีเพิ่มพื้นที่ให้ได้กว่า 1แสนไร่   เพื่อรองรับกำลังผลิตข้าวอินทรีย์ของชาวนาในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ผลักดันให้ออกสู่ตลาดโลกให้ได้ เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยและยกระดับเสถียรภาพราคาข้าวหอมมะลิให้เกิดความมั่นคง ยั่งยืน  

นางสาวกรชวัล    ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า   บริษัทฯยังได้ปรับกลยุทธ์ด้านการส่งเสริมการขายและการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค 

ยุคใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพและอาหารปลอดภัยมากขึ้น   รวมทั้งให้ความสำคัญในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค มีประโยชน์ ปราศจากสารเคมี และสารพิษตกค้าง ส่งผลให้ธุรกิจสินค้าออร์แกนิคทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด   นอกจากนี้ บริษัท กอระฯยังได้บริหารจัดการความเสี่ยงด้านการตลาดที่หลากหลายมากขึ้น  ลดการมุ่งจัดจำหน่ายเพียงช่องทางเดียวควบคู่กับมุ่งรักษาฐานการตลาดและเจาะตลาดใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น   

ปัจจุบันบริษัท  กอระฯ มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาหลากหลายในตลาด   แต่ปีนี้จะหันมุ่งขยายช่องกลุ่มธุรกิจกลุ่มข้าวและผลิตภัณฑ์กลุ่ม Rice crackers และซีเรียล ผลิตภัณฑ์อาหารเช้าเป็นหลัก   โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารเช้า “กอระ ซีเรียล”  นั้นได้รับการยอมว่าอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์เนื่องจากผลิตจากจมูกข้าว ข้าวหักไม่เต็มเมล็ด ของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้เหมาะสำหรับเด็กๆ ที่ไม่ชอบกินข้าว คนที่รักสุขภาพ  คนที่ชอบทานขนมจุบจิบ แต่ไม่อยากอ้วนและวัยทำงานที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ  และอาหารเช้าธัญพืชอบกรอบ หรือซีเรียล (Cereal) ซึ่งขณะนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่นิยมและมีแนวโน้มเติบโตในตลาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง    

นอกจากบริษัทฯจะเดินหน้าในการปรับกลยุทธ์ทางด้านการตลาดครั้งสำคัญแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร จากกรณีปัญหาที่ถูกกล่าวหาพาดพิง เชื่อมโยงบริษัท กอระฯและบริษัท ไอริช อินเตอร์เนชั่นแนล 2018 จำกัด จนบริษัท กอระฯได้รับผลกระทบต่อชื่อเสียงของแบรนด์ “ข้าวกอระ” จนเสียหายในวงกว้างส่งผลต่อการประกอบธุรกิจอย่างมาก  ดังนั้นจึงขอยืนยันว่าบริษัทกอระฯเป็นเพียงผู้ประกอบธุรกิจด้านการเกษตรเท่านั้น 

สินค้าหลัก คือ ข้าวหอมมะลิ แบรนด์ “ข้าวกอระ”  ซึ่งรูปแบบการค้าขาย คือ การรับซื้อสินค้าที่ผ่านเกณฑ์การประเมินจากเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง  ผลิต แปรรูปเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการทั้งในรูปแบบนิติบุคคลและประชาชนที่เป็นผู้บริโภคโดยทั่วไปและที่ผ่านมาบริษัทกอระฯไม่ได้ดำเนินธุรกิจในรูปแบบขายตรงหรือเปิดรับสมัครสมาชิกแต่อย่างใด  ซึ่งบริษัท กอระฯมีหลักฐานที่ชัดเจนและสามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น    

ส่วนบริษัท ไอริชฯ นั้นเป็นบริษัทฯที่ว่าจ้างบริษัทฯกอระผลิตสินค้าเท่านั้น  ซึ่งที่ผ่านมานอกจากบริษัท กอระฯ จะผลิตสินค้าให้กับบริษัทไอริชฯแล้วยังผลิตภายใต้แบรนด์ของตนเองจำหน่ายในตลาดทั้งในและต่างประเทศภายใต้ผลิตภัณฑ์หลากหลายอีกด้วย  ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการดำเนินธุรกิจทำให้สมาชิกได้ขอยกเลิกการซื้อสินค้าและขอคืนเงินจำนวนมากของบริษัท ไอริชฯนั้นบริษัท กอระฯไม่ได้มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใด   

ซึ่งจากการติดตามทราบว่าขณะนี้บริษัท ไอริชฯมีแผนในการคืนทุนตามจำนวนที่แท้จริงให้แก่สมาชิกจำนวน 3แนวทาง  ดังนี้ 

1.คืนทุนด้วยการคืนเงินสมาชิก 
2.คืนทุนด้วยสินค้าที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับจำนวนเงินทุนที่แท้จริงโดยมีสมาชิกแจ้งความประสงค์ขอรับทุนเป็นสินค้าจำนวนมากและอยู่ระหว่างจัดส่งสินค้าให้สมาชิก 
3.คืนทุนด้วยการโอนสิทธิในการรับสินค้าหรือทุนไปยังบริษัทพันธมิตรที่ร่วมดำเนินธุรกิจ 

เพื่อให้สมาชิกได้รับสิทธิในการร่วมธุรกิจหรือรับผลประโยชน์ตอบแทนในการร่วมดำเนินธุรกิจตามวัตถุประสงค์ของบริษัทพันธมิตร  

แต่อย่างไรก็ตาม   ด้วยปัจจุบันบริษัทไอริชฯได้ประสบปัญหาข้อจำกัดทางด้านการเงินเนื่องจากขาดทุนสะสมและเหตุขัดข้องในการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ภายใต้สถานการณ์โควิด -19 ทำให้ บริษัทฯ ยังไม่สามารถคืนเงินทุนให้แก่สมาชิกผู้จำหน่ายอิสระที่ได้ขอยกเลิกการซื้อสินค้าและขอรับเงินคืนได้ครบทุกรายได้ตามระยะเวลากำหนด ทั้งนี้หากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19คลี่คลายลง คาดว่าจะสามารถหาแหล่งเงินทุนจ่ายเงินชดเชยคืนให้แก่สมาชิกครบทุกรายในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน  ส่วนความคืบหน้าคดีความต่างๆอยู่ระหว่างเจรจาไกล่เกลี่ย ประนีประนอมยอมความกับสมาชิก เพื่อหาข้อยุติที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายและบางส่วนได้เจรจาสำเร็จยุติข้อพิพาทไปเรียบร้อยแล้ว  

ส่วนกรณีที่มีกลุ่มบุคคลไปยื่นร้องเรียนกล่าวหาบริษัทฯ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI)นั้น ล่าสุดทางDSIได้สืบสวนสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วและได้มีคำสั่งไม่รับทำคดีตามที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ร้องเรียนและกล่าวหาบริษัทฯแต่อย่างใด    

ขอยืนยันว่าปัจจุบันบริษัทกอระฯยังยืนหยัดในการประกอบธุรกิจตามเจตนารมย์ไม่มีแผนในการหยุดหรือปิดกิจการแต่อย่างใด ทุกวันนี้ยังทำหน้าที่ในด้านการผลิต สนับสนุนส่งเสริมเกษตรกรและการรับซื้อข้าวจากชาวนาในเขตทุ่งกุลาร้องไห้อย่างต่อเนื่อง  ส่วนประเด็นที่ถูกกล่าวหาที่ส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อบริษัทกอระฯและแบรด์สินค้าต่างๆนั้น บริษัท กอระฯก็ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าชี้แจงแก้ไขปัญหาเพื่อให้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย พร้อมยีนยันว่าบริษัทฯกอระเป็นเพียงผู้ประกอบธุรกิจด้านการเกษตรเท่านั้น ไม่เคยดำเนินธุรกิจในรูปแบบขายตรงหรือรับสมัครสมาชิกตามข้อกล่าวหาอย่างแน่นอนและจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการแก้ปัญหาให้เกิดความชัดเจน และสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาโดยเร็ว ” นางสาวกรชวัล   กล่าวย้ำ




Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก