Dinner Incredible Bangkok Thailand ไฟน์ไดนิ่งมื้อค่ำสุดแสนพิเศษ จากการรวมตัวของ 13 เชฟระดับโลก ครั้งแรกในเมืองไทย และครั้งแรกในโลก
Brandverse ผนึกพันธมิตรธุรกิจ-การศึกษา-ภาครัฐ เปิดตัว "T-Verse" จักรวาลเชื่อมต่อเมต้าเวิร์ส ดัน ecosystem ไทยสู่ระดับโลก
Brandverse พร้อมภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และภาครัฐกว่า 50 องค์กร แถลงข่าวความร่วมมือพัฒนา Thailand Metaverse Ecosystem เปิดตัว “T-Verse : Thailand Multiverse Bridge Platform” จักรวาล Metaverse แห่งใหม่ของไทยสร้างโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อให้เป็นจักรวาลเชื่อมต่อทุก Metaverse เข้าหากันและเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนสินค้าบนโลกเสมือนจริง พร้อมขยายศักยภาพด้านเทคโนโลยีและธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรด้านเมต้าเวิร์สได้อีกมาก
โดยภายในงาน เปิดตัว “T-Verse : Thailand Multiverse Bridge Platform” เต็มไปด้วยกิจกรรมและเทคโนโลยีล้ำๆ ที่ชวนให้ผู้ร่วมงานได้หลุดเข้าสู่ T-Verse แบบไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็น Vision into T-Verse, Metaverse Onboarding by Brandverse, 3D Avartar Fashion Gallery, Digital Twin Photo Shoot, T-Verse NFT Art Limited Edition, Zipmex Digital Assets Space และ 88 Sandbox by Thammasat University เป็นต้น
สำหรับการสร้าง T-Verse หรือจักรวาล Metaverse ของไทยในครั้งนี้ เป็นการสร้าง Thailand Multiverse Bridge Platform นำโดย Brandverse ผู้ออกแบบและให้บริการด้าน Metaverse อย่างครบวงจร และพัฒนา T-Verse ด้วยการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยให้ออกมาเป็น Multiverse แบบฉบับไทยแลนด์ พร้อมผนึก Verse ต่างๆ จากทุกวงการให้เชื่อมกันแบบไร้รอยต่ออย่าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างการเรียนการสอนขึ้นจริงบนจักรวาลเสมือนแห่งนี้ พร้อมเติมเต็ม Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย Verse จากพาร์ทเนอร์ธุรกิจชั้นนำของไทย อาทิ 7-Eleven, เซ็นทรัลพัฒนา, ช่อง3พลัส, เด็นโซ่, ธรรมนิติ, ดีวาน่า, แกรมมี่, เคบีทีจี, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, มิลล์คอน, เงินติดล้อ, ดีแลนด์, จีซี, โออาร์, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, เอสซี แอสเสท, สยามพิวรรธน์, ไทยรัฐ, เดอะมอลล์ กรุ๊ป, วัตสัน, ซิปเม็กซ์ และอีกทุกกลุ่มธุรกิจมากมายรวมกว่า 50 องค์กร รวมถึงภาครัฐ อาทิ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หวังให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตบน T-Verse ได้เสมือนจริงมากที่สุดนายณัฐเศรษฐ์ ไตรทิพย์เจริญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบรนด์เวิร์ส จำกัด เปิดเผยถึงภารกิจที่ท้าทายในการสร้าง T-Verse ว่า T-Verse จะเป็นจักรวาลของ Metaverse ที่เชื่อมทุกคนและทุก Verse เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจ สร้างอาชีพ และสร้างโอกาสใหม่ๆ
“ปัจจุบันการแข่งขันทางการค้าและการบริการภายใต้บริบทใหม่ของโลก เทคโนโลยีและนวัตกรรมคือปัจจัยสำคัญ Brandverse รับอาสาพาธุรกิจและองค์กรทุกภาคส่วนของไทย ก้าวเข้าไปสู่โลกเสมือนจริงให้ประสบความสำเร็จด้วยกัน จึงผุดแนวคิดในการสร้าง T-Verse ขึ้นมา โดยได้รับความร่วมมือจากพาร์ทเนอร์ทุกวงการธุรกิจ รวมถึงภาคการศึกษามาช่วยเติมเต็ม Verse ให้เชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ เชื่อมั่นว่านี้จะเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของไทยที่จะช่วยไสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ดี ทำให้เกิดเป็น Thailand Metaverse Ecosystem ขึ้นมา จนสามารถยกระดับศักยภาพไทยในการแข่งขันระดับโลกได้”
ด้านมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “เรากำลังวางแผนจะเปิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ที่ 5 นั้นก็คือ “Thammasat Metaverse” โดยมองว่า Metaverse มีประโยชน์มากมายในการเรียนรู้ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ และการแพทย์ อีกทั้งยังทำให้เกิดการเรียนรู้แบบ Anywhere Anytime ซึ่งจะยิ่งตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน คือธรรมศาสตร์เพื่อประชาชน ซึ่งใน Thammasat Metaverse จะเปิดการเรียนการสอนให้ทุกคนที่มีความต้องการเรียนรู้ในศาสตร์ใหม่ๆ ลดความเหลื่อมล้ำให้แก่ผู้สนใจ เพราะฉะนั้นเครือข่ายพันธมิตรของ T-Verse จะช่วยทำให้ Thammasat Metaverse มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ขึ้น สามารถสร้างองค์ความรู้ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนทุกระดับ อย่างไร้ข้อจำกัด ไร้พรมแดน”
ทั้งนี้ T-verse ถูกออกแบบใน concept ของจักรวาลที่มีวงโคจร 13 วงโคจร เกิดเป็นดวงดาว (Verse) ทั้งสิ้นกว่า 985 ดวง และสร้างให้เกิด community ใหม่ขึ้นมา เป็นพื้นที่ในการสร้างโอกาสครั้งใหม่ของทุกๆคน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในรูปแบบ 3D Avatar ตามคอนเซ็ปท์ Social Shop Play Work Learn อย่างไร้พรมแดน อีกทั้งโครงการ T-Verse ยังมองถึงความยั่งยืนด้วยการสร้าง Brandverse Academy เพื่อตอบโจทย์การพัฒนา Future skill ให้แก่ผู้ที่สนใจและเป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศต่อไป
มาร่วมกันสร้างรากฐานและขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย เติบโต แข่งแกร่งในโลกแห่งอนาคตใบใหม่ นี้ไปพร้อมกัน อนาคตเริ่มต้นที่นี่ Let’s #VerseTogether
HARDMAN Warehouse ศูนย์รวมแบรนด์เครื่องมือช่าง และฮาร์ดแวร์ (Power Tools)
HARDMAN Warehouse ศูนย์รวมแบรนด์เครื่องมือช่าง และฮาร์ดแวร์ (Power Tools) ครบวงจร พร้อมสร้างความต่างด้วย Professional hardware community and workshop experience
เจาะกลุ่มคนรักงาน DIY และ ช่างมืออาชีพยุคใหม่ ที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ตั้งเป้าโตปีละ 15% และขยายมากกว่า 20 สาขาทั่วประเทศ ภายใน 5 ปี
Hardman (ฮาร์ดแมน) ศูนย์รวมแบรนด์เครื่องมือช่างและฮาร์ดแวร์(Power Tools) เดินหน้าต่อยอดธุรกิจครอบครัว บริษัท วิศิษฏ์ภัณฑ์ (1991) จำกัด ผู้นำเข้าค้าส่งเครื่องมือช่างอุปกรณ์ก่อสร้าง ด้วยกลยุทธ์ Omni-Channel ชูแนวคิด “ฉลาดเลือก ฉลาดช้อป ฉลาดใช้” พร้อมสร้างความต่างจาก Modern Trade ทั่วไป ด้วยพื้นที่คอมมูนิตี้แวร์เฮาส์สุดฮิป ตอบโจทย์คนรักงาน DIY และช่างมืออาชีพยุคใหม่ที่มีสไตล์เป็นของตัวเองและหันมาสร้างสรรค์ผลงาน
รวมถึง ตกแต่ง ซ่อมบำรุงบ้านเอง ตลอดจนใส่ใจเลือกเครื่องมือช่างที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และน่าเชื่อถือ โดยวางแผนดำเนินธุรกิจให้เติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืน ตั้งเป้าเติบโตปีละ 15% รวมถึงเปิดเฟรนไชส์และจุดคีออส รวมกันมากกว่า 20 สาขา ทั่วประเทศ ภายใน 5 ปี (พ.ศ.2570)นายสมิต โชติอำพน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮาร์ดแมน จำกัด กล่าวว่า Hardman เริ่มต้นดำเนินธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์กลุ่มเครื่องมือช่างและฮาร์ดแวร์ Power Tools มาตั้งแต่ปี 2558 โดยจำหน่ายอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ 100% ผ่านแอพพลิเคชั่น Lazada, Shopee, JD Central และ ช่องทางโซเชียลมีเดีย Hardman Thailand ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี มียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% ล่าสุดในปี 2563-2564 ที่ผ่านมา เติบโตสวนกระแสถึง 300% เนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น โดยหันมาซ่อมบำรุงบ้าน ทำสวน สร้างสรรค์ผลงานประดิษฐ์ ตกแต่ง ประกอบเฟอร์นิเจอร์ด้วยตัวเอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างช่างมืออาชีพ
สำหรับ Hardman Thailand เรามุ่งมั่นสร้างแบรนด์ที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ พร้อมต่อยอดธุรกิจของ บริษัท วิศิษฏ์ภัณฑ์ (1991) จำกัด ผู้นำค้าส่งเครื่องมือช่าง ประปา ปั๊มน้ำ งานเกษตร และเคมีภัณฑ์ ที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจยาวนานกว่า 31 ปี รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับดีลเลอร์และแบรนด์ยอดนิยมจากต่างประเทศมากมาย โดยนำจุดแข็งนั้นมาเรียนรู้และคัดเลือกไอเท็มสินค้ามากกว่า 10,000 SKU
เพื่อตอบโจทย์ ช่างมืออาชีพ วิศวกร สถาปนิก คนรักบ้าน และผู้ที่สนใจงาน DIY ยุคใหม่โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น สินค้ากลุ่มประดิษฐ์ สร้างสรรค์ และซ่อมแซมทั่วไป เครื่องมือช่างประจำบ้าน อุปกรณ์เทคโนโลยีไร้สาย เครื่องมือช่างมืออาชีพ อุปกรณ์ประปา การเกษตร อุปกรณ์ทำสวน ประกอบไปด้วยแบรนด์ชั้นนำอย่าง Bosch Makita Stanley Dewalt Festool Pumpkin Sanwa Meta VRH Hoyt Hefele เป็นต้น ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีในการทำตลาดออนไลน์ ทำให้เราเข้าใจความต้องการของลูกค้าแบบอินไซต์ และมีฐานลูกค้าประจำมากมาย แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 60% ต่างจังหวัดอีก 40%
ทั้งนี้การเปิด HARDMAN Warehouse รัชดา- พระราม 3 บนพื้นที่รวม 2,000 ตารางเมตร ใช้งบประมาณกว่า 50 ล้านบาท เพื่อสร้าง Professional Hardware Community ที่จะเป็น Connection ระหว่างช่างผู้มีประสบการณ์กับผู้เริ่มสนใจงานช่าง งาน DIY ที่ไม่ใช่แค่การขาย แต่เราจะสร้าง New experience ที่เต็มไปด้วยไอเดีย งานครีเอทีฟ ผ่านแบรนด์สินค้าชั้นนำ ที่ลูกค้าจะได้ทดลอง สัมผัสจริง รวมถึงเป็นศูนย์บริการหลังการขายแบบครบวงจร ตลอดจนมอบความรู้สึกที่แตกต่างไปจาก Modern Trade ทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ตลาดเครื่องมือช่าง หรือ Powertools มีมูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของมูลค่าตลาดรวมวัสดุก่อสร้างทั้งหมด 500,000 ล้านบาท และคาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 5% จากสัญญาณการเดินหน้าโครงการก่อสร้างในภาพรวม และทำให้กลุ่มตลาดเครื่องมือช่างก็เติบโตตามไปด้วย อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกโดยตรง จากสถานการณ์โควิด คนว่างมากขึ้น และสนุกกับงานซ่อมบำรุง หรือสร้างสรรค์ ประดิษฐ์ของใช้ตกแต่งบ้าน ภายในครอบครัว ตลอดจนตั้งใจนำผลงานไปโชว์ และเชิญชวนกันเองในโลกโซเซียล เป็นต้น
ณัฐภัสร์ขนก พชรชัยนันท์ CEO หมื่นล้าน กับบทพิสูจน์จากหัวใจ
ว่าด้วยเรื่องการใช้ “หัวใจ” กับการทำธุรกิจ
แล้ว “เปิ้ล-ณัฐภัสร์ชนก พชรชัยนันท์” เป็นนักธุรกิจหญิงคนหนึ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่ใช้ “หัวใจ” มาผสานรวมกับ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ ในการทำธุรกิจ ไปพร้อมๆ กับการสร้างบทพิสูจน์ ที่นำไปสู่การยมอรับผลิตภัณฑ์อย่างไร้เงื่อนไขอื่นใด “เนื่องจากตัวของเปิ้ล เป็นคนที่ดูแลรักษาสุขภาพ และรักสวยรักงามอยู่แล้ว โดยเฉพาะ เรื่องของผิวพรรณ ที่ทำให้ยังคงดูอ่อนกว่าวัยค่ะ”
บทบาท CEO กับหัวใจ AURASE’
หนึ่งวิธีการดูแลตัวเองในแบบฉบับของ เปิ้ล-ณัฐภัสร์ชนก คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ “อย่างที่บอกค่ะ ว่าเปิ้ลเป็นคนที่ดูแลตัวเอง ด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา อาหารที่เปิ้ลเน้นจะเป็นจำพวก โปรตีนจากพืช (Plant base) และ คอลลาเจนต่างๆ เพราะเปิ้ลมีความรู้สึกว่า การรับประทานอาหารเหล่านี้ ช่วยตอบโจทย์เรื่องสุขภาพได้ดีที่สุด และที่สำคัญยังเห็นผลจริงๆ” ด้วยการพิสูจน์ และทดลองกับตัวเองมาแล้วทำให้ วันนี้ เธอจึงกล้าตัดสินใจสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองขึ้นมา
AURASE’ Hybrid Collagen ไม่เพียงเป็นแบรนด์ธุรกิจแรก ทว่า ยังเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เธอ เข้ามากุมบังเหียนอย่างเต็มตัวครั้งแรก ในบทบาท “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” แห่ง AURASE’ Thailand พร้อมๆ กับนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพภายใต้แนวคิด “AURASE’ Collagen all of you aura” ที่เรียกว่า มีคลอลาเจนอันทรงประสิทธิภาพ และที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็ว่าได้ ซึ่งซีอีโอสาว ได้เปิดเผยอีกหนึ่งเหตุผลถึงการสร้างแบรนด์ คลอลาเจนนี้ด้วยว่า ผลิตภัณฑ์คลอลาเจน แบรนด์ออร่าเสะ เป็นผลิตภัณฑ์ไฮบริด ที่ผสานความเป็นธรรมชาติ กับ สารอาหารเพื่อความงามเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว “ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาตอบโจทย์ความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง และยังเห็นผลจริงๆ ด้วย ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากหัวใจ และความรู้สึกของเปิ้ลจริงๆ ค่ะ”
พิสูจน์ด้วยตัวเอง
“เปิ้ล เป็นคนที่รับประทาน โปรตีนจากพืช มาตั้งแต่อายุ 30 กว่าๆ แล้ว เนื่องจากตัวเองมีปัญหาเกี่ยวกับมดลูก และสุดท้ายต้องตัดทิ้งไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้อีก ส่งผลต่อผิวพรรณของตัวเอง มีความเสื่อมไวกว่าปกติ และนอกจากนั้น ยังมีปัญหาเรื่องกระดูกพรุนด้วย ทำให้กระดูกเปราะ หากประสบอุบัติเหตุแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีความเสี่ยงที่กระดูกจะแตกหักง่าย ดังนั้น คุณหมอจึงแนะนำให้รับประทานอาหารประเภทโปรตีนโดยเฉพาะ โปรตีนจากพืช มาเสริม”
นอกจากจะช่วยเรื่อง ฮอร์โมน และกระดูกแล้ว อีกหนึ่งสรรพคุณของโปรตีน จากพืช ที่น่าอัศจรรย์ จนทำให้ ซีอีโอสาว คนนี้ทึ่งกับสิ่งที่เธอได้รับโดยตรง “เปิ้ลกินโปรตีนจากพืช มาตั้งแต่อายุ 30 กว่า สิ่งแรกที่เรารู้สึกได้เลยคือ ผิวเราไม่เหี่ยว แถมยังทำให้ผิวของเรามีความกระชับ เปร่งปรั่ง อันนี้เห็นผลจริงๆ ค่ะ นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยกระดูกให้แข็งแรงไม่เปราะหักง่ายด้วย” “แต่จะว่าไปแล้ว โปรตีนจากพืช อาจมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่มีรสชาติ จืดๆ แถมมีกลิ่นถั่ว ซึ่งคนปกติอาจจะกินกันไม่ค่อยได้ง่ายนัก แต่สำหรับเปิ้ลแล้ว จำเป็นต้องกินค่ะ ก็กินมานาน 10-20 ปี รู้ว่าไม่อร่อยก็จำเป็นต้องกิน เรียกว่าขาดไม่ได้เลย ขณะเดียววัน การกินโปรตีนมาก ๆ ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องผูกด้วย เปิ้ลก็เลยลองหาสูตรอาหารใหม่ๆ จนค้นพบคลอลาเจน ตัวหนึ่ง ที่ไม่เพียงช่วยผิวพรรณ ให้สวยเท่านั้น แต่ยังทำให้ท้องไม่ผูกด้วย”“คลอลาเจนดี” ต้องบอกต่อ
อาจเรียกได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางในการสร้างแบรนด์ “ออร่าเสะ” ที่ซีอีโอ สาวคนนี้ อยากจะให้ผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวพรรณ ได้รับประทานกัน “ถ้าเราจะผลิตสินค้าอะไรออกมาสักชิ้นหนึ่ง เปิ้ลบอกเลยค่ะว่า อยากให้ทุกคนใช้แล้วเห็นผลจริงๆ เราอาจจะพูดได้ว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดีอย่างไร แต่หากได้ลองแล้ว เราจะรู้ด้วยหัวใจ และความรู้สึกทันที ซึ่งทั้งหมดเกิดจากแรงผลักดันที่ออกมาจากหัวใจของเปิ้ลจริงๆ ค่ะ” และนั่น ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้มาพบกับบริษัท เวก้าเนเจอรัล จำกัด ผู้สร้างฝันของ ซีอีโอ สาวคนนี้ให้เป็นจริง
“ออร่าเสะ ตัวนี้ เป็นสิ่งที่เปิ้ลตั้งใจให้บริษัทเวก้า ผลิตขึ้นมาตามโจทย์ที่เปิ้ลบอกค่ะ คือต้องไม่อ้วน ไม่มีน้ำตาล ช่วยเรื่องริ้วรอย และฮอร์โมน รวมถึง ยังต้องมีโปรตีนจากพืช มีคลอลาเจน วิตามินซี และ ไดเปบไทด์ ขณะเดียวกัน ก็ต้องช่วยผิวให้ฟูเด้ง ฉ่ำน้ำ และกระชับทุกสัดส่วนของร่างกาย นี่เป็นสิ่งที่เปิ้ลบอกทางคุณขวัญไปค่ะ ก่อนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ AURASE’ Hybrid Collagen ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมไฮบริด ที่ผสานคลอลาเจน ไดเปปไทด์ ออแกนิกแพลนท์โปรตีน และความเป็นที่สุดของการต้านอนุมูนอิสนะ ออแกนิกแอสต้าแซนธิน จากยุโรป ที่เปิ้ลรู้สึกภูมิใจกับผลิตภัณฑ์นี้มากค่ะ”
นักธุรกิจสาว ผู้มาพร้อมนิยาม “ซีอีโอหมื่นล้าน” และแนวคิด “All of Your Aura” ความเปร่งประกายของผู้หญิง ความสวยสมบูรณ์ในแบบ AURASE’ ทิ้งท้ายการพูดคุยด้วยการตอกย้ำว่า ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่เธอตั้งใจผลิตขึ้นมานี้ ทุกอย่างล้วนทำด้วยหัวใจ เพื่อผู้หญิงทุกคน และเชื่อว่าหากใครได้ลองรับประทานแล้ว จะต้องหลงรัก AURASE’ แน่นอนค่ะ”
ณัฐภัสร์ขนก พชรชัยนันท์ CEO แห่ง AURASE’ Thailand ยังมีเรื่องราวดีๆ อีกมากมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ AURASE’ ที่อยากจะบอกให้ผู้หญิงทุกคนได้รู้ ผู้สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ Facebook: aurase_thailand , Twitter : aurasethailand , Tiktok @aurase_thailand , Line QA: @aurase และ Youtube: AURASE’ หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่หมายเลข 02-3856578 หรือ Hotline: 062-441-5544
… “AURASE’ All of Your Aura”… ความเปร่งประกายของผู้หญิง ความสวยสมบูรณ์ในแบบ AURASE’
90’S UNICORN X ICE MAGAZINE
ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำแฟชั่นและเทรนด์ต่าง ๆ ของวัยรุ่นในยุคนั้น สู่ปี 2022 นี้ Unicorn จึงอยากพาวัยรุ่น 90’s Throwback ย้อนไปในช่วงเวลาแห่งโลกนิตยสารแฟชั่น ดึงความรู้สึกที่หลายคนคิดถึงกลับมา ใน “งาน 90’s Unicorn x Ice magazine” มาร่วมสัมผัสช่วงเวลาแห่งความสุขและความสนุกไปกับสีสันของแฟชั่นด้วยบรรยากาศซัมเมอร์ที่ยกมา พร้อมขบวนร้านค้าดังจาก IG มากกว่า 40 ร้าน ผสมผสานกับความเป็น Ice Magazine ในครั้งนี้ จัดขึ้นในวันที่ 1 - 10 มีนาคม 2022 ลาน Eden และ Central Court Central world
โดยภายในงานบริษัท ยูนิคอร์น ออแกไนซ์ จำกัด ได้สร้างสรรค์การตกแต่งบรรยากาศให้เกิดประสบการณ์ครั้งพิเศษให้กับสายชอป เสมือนสตูดิโอถ่ายภาพให้ลูกค้าได้มาถ่ายรูปกันแบบ ฟรีๆ!! ได้ที่นี่ ซึ่งภายใน แบ่งเป็น 2 โซน บรรยากาศถนน Harajuku Street ในโซนลาน Eden ที่รวบรวมร้านแฟชั่นใน ให้สาว ๆ ได้มาร่วมชอป แชะ แชร์ ในงาน ไปกับแนว Street Fashion โซนนี้เราจะเน้นสินค้าแฟชั่น ตามกระแส ตามสไตล์เซเลป Net idol ไปจนถึง rare item ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจาก IG ร้านดังที่มีฐานลูกค้าเหนียวแน่น จะมารวมตัวกัน เพลินกันต่อที่ Tropical beach vibes ในลาน Central court ที่รวบรวมไอเทมสุดชิค ในบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกถึง Japan Summer ไปกับ Collection หน้าร้อน ใส่สบายๆ ชุดไปทะเล บิกินี Accessory พร๊อพ ขนม หรือของทางเล่นต่างๆ และเครื่องดื่มดับร้อน Tropical Mocktail พลาดไม่ได้กับกิจกรรมสุดเศษในวันเปิดงาน ที่ขนขบวนดารา ไอดอล มาอย่างคับคั่ง ได้แก่ แอร์ ภัณฑิลา ฟูกลิ่น นักแสดงมากความสามารถ อดีตพิธีกรรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้ก ขึ้นมามอบความสุขผ่านเสียงเพลงบนเวที และมินิคอนเสิร์ตจากสามพี่น้อง JNP เนย-แจม-พิกเล็ท กับโชว์พิเศษกับจุดยืนความเป็น T-POP พร้อมคอสตูมที่ยังคงกลิ่นอายคาวาอี้, เบเบ้ ธันย์ชนก ฤทธินาคา ไอดอลในยุค 90’s และอีกมาย
โดยสามารถติดตามข้อมูล
ได้ที่ Facebook page : I am unicorn
#90sicemagazine #iamunicorn #unicornorganize
และ Line official account : @unicornorganize
บำรุงราษฎร์ กางแผนทิศทางดำเนินงานในปี 2565 พลิกโฉมการแพทย์แห่งอนาคต
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดงานแถลงข่าวครั้งสำคัญแสดงวิสัยทัศน์และทิศทางการแพทย์แห่งอนาคต (Bumrungrad: Shifting the Future of Healthcare) เพื่อตอกย้ำคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของผู้ป่วย อันเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์บำรุงราษฎร์ที่มีมาอย่างยาวนานถึง 42 ปี รวมถึงความพร้อมทางการแพทย์และนวัตกรรมทางการแพทย์ ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อการกลับมาขับเคลื่อนสู่ความเป็นผู้นำทางการแพทย์ของไทยอีกครั้ง ในด้าน Medical and Wellness Destination ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ
ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 42 ในปี 2565 นี้ และยังคงสานต่อปณิธานการก่อตั้งโรงพยาบาลฯ ที่ต้องการให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลของคนไทย เพื่อให้การบริบาลและส่งมอบผลลัพธ์ทางการรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้กับผู้มารับบริการทุกคน โดยไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อมุ่งหวังแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเอื้อประโยชน์ต่อสังคมด้วย
สำหรับก้าวต่อไปนับจากนี้ ซึ่งเป็น Healthcare Trend ที่สำคัญของโลก บำรุงราษฎร์มุ่งมั่นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ Smart Healthcare 5.0 เพื่อการดูแลสุขภาพครอบคลุมทุกมิติ โดยยังคงให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของผู้ป่วย อีกทั้งยังยกระดับการให้บริการเพื่อส่งมอบการดูแลรักษาสุขภาพระยะยาว (Lifetime value health partner) ในทุกช่วงอายุเพื่อให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในขณะที่ทิศทางการแพทย์ บำรุงราษฎร์ยังมุ่งพัฒนาการรักษาในระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) รวมถึงการยกระดับศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Center of Excellence) เพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคยากและโรคซับซ้อนได้อย่างครอบคลุมทุกโรค ซึ่งจำเป็นต้องใช้สหสาขาวิชาชีพ (multidisciplinary team) เข้ามาร่วมในการดูแลรักษาและมุ่งเน้นบุคลากรหลากหลายสาขา โดยบำรุงราษฎร์มีจุดแข็ง 3C1W ในด้านคุณภาพของการรักษา (Quality of Care) คือ
1) Critical care การรักษาโรควิกฤต-บำรุงราษฎร์มีทีมแพทย์เวชบำบัดวิกฤตที่ได้รับการรับรองจาก American Board of Critical Care Medicine จากสหรัฐอเมริกา และเป็นทีมที่เข้มแข็งและเป็นเสาหลักของโรงพยาบาล ที่พร้อมดูแลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการจัดการอย่างมีระบบ
2) Complicated care การรักษาโรคซับซ้อน บำรุงราษฎร์มีทีมแพทย์ชำนาญการและประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนเกี่ยวเนื่องกับหลายอวัยวะหรือเป็นโรคยากต่อการวินิจฉัย โดยมี Center of Excellence ที่ครอบคลุมการรักษาในทุกโรค ซึ่งรวมถึงการปลูกถ่ายอวัยวะ (Organ transplantation) มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญการขั้นสูงในการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ มากว่า 30 ปี ทั้งการปลูกถ่ายไต, ปลูกถ่ายหัวใจ, ปลูกถ่ายตับ และปลูกถ่ายตา โดยบำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย ที่ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจให้แก่ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว3) Collaboration of Expertise การทำงานร่วมกันของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในหลากหลายสาขาและสหสาขาวิชาชีพ เพื่อร่วมกันให้การบริบาลผู้ป่วยเพื่อผลลัพธ์ของการรักษาที่ดีที่สุด ตัวอย่างที่ชัดเจน คือการตรวจวินิจฉัยโรคหายาก (Rare Disease) ซึ่งเป็นกลุ่มของโรคที่พบจำนวนผู้ป่วยไม่มากในแต่ละโรค ทำให้มีความยากในการตรวจวินิจฉัย จึงจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางหลากหลายสาขา เพื่อประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการโรคของผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งต่อกันมาทางสายเลือดในครอบครัว อาทิ กลุ่มโรคแอลเอสดี กลุ่มโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง4) Wellness and Prevention การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกัน นับเป็นเทรนด์ที่สำคัญของการแพทย์ในอนาคต ที่บำรุงราษฎร์ได้บุกเบิกมากว่า 21 ปี โดยมีศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ที่ให้บริการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย นอกจากนี้ บำรุงราษฎร์ยังมีการดูแลสุขภาพในเชิงลึกระดับยีน โดยการตรวจยีน เพื่อป้องกันก่อนเกิดโรค (Genetic Testing) เพื่อคาดคะเนสุขภาพในอนาคต ทำให้วางแผนและป้องกันการเกิดโรคร้ายบางชนิดได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงในการแพ้ยาและทำนายการตอบสนองของยา ช่วยให้เลือกใช้ยาและขนาดยาได้อย่างเหมาะสมและช่วยวางแผนการมีบุตร โดยตรวจโรคทางกรรมพันธุ์บางชนิดที่อาจถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกทั้งนี้ การที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศและก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เนื่องด้วยคุณสมบัติสำคัญ 3 ประการหลัก ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ประกอบด้วย
1) องค์กรแห่งนวัตกรรม (Innovation) บำรุงราษฎร์เป็นองค์กรที่เปิดรับนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ ๆ รวมถึงเทคนิคการรักษาแนวใหม่ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและการรักษาโรคเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ยกตัวอย่างเทคโนโลยีการรักษา Minimally Invasive ที่มีความแม่นยำมากขึ้น แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ อาทิ การรักษาโรคต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ (Water Vapor Therapy), การรักษาก้อนเนื้องอกชนิดปกติด้วยการจัดความเย็นจัด (Cryoablation) หรือ AI Lunit ที่ช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้แม่นยำและเหมาะสมมากขึ้น หรือหุ่นยนต์ดาวินซีที่เข้ามาช่วยศัลยแพทย์ในการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยหลายระบบอวัยวะ (Robotic Assisted Surgery) รวมถึงการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม (Genomics) เป็นต้น
2) สถาบันด้านวิชาการทางการแพทย์ (Academic Hospital) บำรุงราษฎร์มีฝ่ายวิจัยและศึกษาที่มีบทบาทมุ่งส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องของแพทย์ ทันตแพทย์ และบุคคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาล ตลอดจนสร้างองค์ความรู้ใหม่ รวมทั้งนวัตกรรมในทางการแพทย์และบริการที่เกี่ยวข้อง มีการดำเนินความร่วมมือกับสถาบันทางวิชาการ/มหาวิทยาลัยในระดับประเทศ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัย CMKL, วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติ จุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, การส่งเสริมสนับสนุนงานวิจัยทั้งงานวิจัยที่เน้นความก้าวหน้าทางการแพทย์, การจัดประชุมทางวิชาการและการอบรมฝึกปฏิบัติ (Workshop)
โดยมีแพทย์ของบำรุงราษฎร์เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับแพทย์ที่เข้าร่วมอบรม อาทิ การจัดประชุมนานาชาติในการผ่าตัดกระดูกสันหลังผ่านกล้องเอ็นโดสโคป ที่จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2555 และการจัดประชุมนานาชาติด้านโรคหัวใจ (International Cardiology Annual Meeting) ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558 ในด้านการวินิจฉัยและรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติที่ทำให้เกิดการตายเฉียบพลัน เป็นต้น3) การมีวัฒนธรรมที่โดดเด่น (Unique Culture) ที่ถ่ายทอดและปฏิบัติสืบต่อกันมาเข้าสู่ปีที่ 42 อันเป็น Rich Heritage อันทรงคุณค่าของบำรุงราษฎร์ ได้แก่
- Agility ความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
- Un-complacency คือ การที่ไม่หยุดอยู่กับความพึงพอใจที่เกิดขึ้น ทุกคนมีความม่งมั่นในการพัฒนาพัฒนาผลงานให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ และตั้งใจทำให้ดีกว่าผลงานครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษา (adaptive to technology) และการ reaccreditation เรื่องของคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยตลอดเวลา เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้มาใช้บริการ และ
- Compassionate Caring เป็นการส่งมอบการบริบาลด้วยความเอื้ออาทร ดูแลผู้ป่วยและบุคลากรทุกคนเสมือนญาติมิตร
4) การมีเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็ง (Partnership) บำรุงราษฎร์มีนโยบายอย่างชัดเจนในการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อความร่วมมือในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีการกระจายอยู่ในเซกเมนต์ต่าง ๆ มากขึ้น ที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์ได้ร่วมมือกับมั่นคงเคหะการและไมเนอร์ ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ร่วมเปิดตัวโครงการ RAKxa Wellness ที่บางกระเจ้า ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม Fully Integrative Wellness & Medical Retreat แห่งแรกในเอเชียที่รวม Advanced Medical Science และ Holistic Wellness ไว้ด้วยกัน
นอกจากนี้ยังมีการดำเนินการภายใต้โมเดลธุรกิจ Bumrungrad Health Network เพื่อขยายการให้บริการทางการแพทย์ด้วยมาตรฐานบำรุงราษฎร์ไปยังกลุ่มเซกเมนต์ใหม่ๆ ของโรงพยาบาลพันธมิตร อาทิ ศูนย์กระดูกสันหลังและศูนย์ข้อ ร่วมกับโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ, ศูนย์กระดูกสันหลัง ร่วมกับโรงพยาบาลนครธน, ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน ร่วมกับโรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก, และล่าสุดได้เปิดบริการด้านพันธุศาสตร์ เพื่อยกระดับการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม ร่วมกับสวัสดีราษฎร์คลินิกเวชกรรม จังหวัดนครราชสีมา เพื่อขยายโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ในระดับที่หลากหลายขึ้นในโรงพยาบาลพันธมิตรที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงยังขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ สยามพิวรรธน์, เซ็นทรัล, เดอะ มอลล์, อนันดา และแสนสิริ เพื่อการแนะนำโปรแกรมดูแลสุขภาพที่ออกแบบเพื่อให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่มอีกด้วยรศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวเสริมว่า ในส่วนของ ‘แพทย์’ ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อาทิ บทบาทองค์กรแพทย์ของบำรุงราษฎร์ในการรักษามาตรฐานทางการแพทย์และจรรยาบรรณ กระบวนการสรรหาแพทย์ใหม่ ๆ ที่มีความชำนาญการและประสบการณ์สูงในแต่ละด้าน เพื่อมาผนึกกำลังกับแพทย์ปัจจุบันของโรงพยาบาล เพื่อให้ครอบคลุมในทุกด้านและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและผลของการรักษาที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ป่วยแต่ละราย
โดยในปีนี้ บำรุงราษฎร์จะให้น้ำหนักด้านการแพทย์ใน 2 ส่วนสำคัญคือ
1. Robotic Surgery Center การนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดระบบดาวินซีเข้ามาช่วยศัลยแพทย์ในการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยหลายระบบอวัยวะให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และ
2. Genetic มุ่งเน้นการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม (Genomics) ซึ่งจะช่วยระบุความเสี่ยงในการเกิดโรคบางชนิด ทำให้สามารถป้องกันโรคเชิงรุกได้ อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด วางแผนการมีบุตรและป้องกันกลุ่มโรคเสี่ยงทางพันธุกรรมอื่นๆ ในอนาคต รวมถึงตรวจพันธุกรรมเพื่อป้องกันการแพ้ยา ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้ยาหรือวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะมาเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นเทรนด์การแพทย์ที่บำรุงราษฎร์ให้ความสำคัญนับจากนี้ต่อไป