สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ จับมือ Food For Fighters &The Diplomat Network และ World Reward Solutions ปั้นเยาวชนรุ่นใหม่หวังร่วมลุยงาน APEC สร้างเสริมประสบการณ์ ผ่านโครงการ KYTA Youth Leadership Development ครั้งที่ 1

เมื่อวันที่ 22-24 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมาเยาวชนอาสาสมัครจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาสาสมัครจากโครงการ Young Khao Yai โครงการ Food For Fighters X Volunteer TU ยั่งยืน ได้เข้าร่วมการอบรม โครงการ “KYTA Youth Leadership Program” ครั้งที่ 1 ณ โรงแรม Raintree Residence อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จัดขื้นโดยนางสาวพันชนะ วัฒนเสถียร นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ (Khao Yai Tourism Association) และผู้ก่อตั้งโครงการ Food For Fighters ร่วมกับนายพันธจักร ว่องปรีชา ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท The Diplomat Network เพื่ออบรมหลักสูตรความเป็นผู้นำ เสริมสร้างศักยภาพและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคมให้แก่กลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ที่จะกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมในอนาคต มุ่งบ่มเพาะให้อาสาสมัครกลุ่มดังกล่าวเติบโตอย่างมั่นคง และเตรียมความพร้อมในการร่วมทำงาน APEC ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ เนื่องจากอาสาสมัครกลุ่มดังกล่าวได้ร่วมทำงาน Dinner Incredible ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 25 -26 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมาเป็นการสร้างโอกาสให้กับน้อง ๆอาสาสมัครที่ขาดโอกาสในการทำกิจกรรมในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคCovid-19 ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา 

โดยกลุ่มเยาวชนเข้ารับการเรียนรู้อย่างเข้มข้นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ การวิเคราะห์บุคลิกภาพของตนเองผ่านแบบทดสอบ DISC จาก บริษัทที่ปรึกษา ENPEO Consulting เพื่อที่จะรู้จักตนเองมากขึ้นและค้นหาลักษณะพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม และเพื่อให้เกิดความสุขในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม สามารถใช้เป็นแนวทางในการวางแผนชีวิตการทำงาน หลังจากที่จะก้าวออกจากสู่รั้วมหาวิทยาลัย 

หนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมการอบรมได้สัมผัสและศึกษาธรรมชาติ รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในครั้งนี้ดำเนินกิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติโดยอาสาสมัครจาก Trekking Thailand Tour 

นอกจากนี้นายพันธจักร ว่องปรีชา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร The Diplomat Network ซึ่งผ่านประสบการณ์ทำงานทั้งกับกระทรวงต่างประเทศ ตำแหน่งสุดท้ายเลขานุการเอกฯ และองค์กรเอกชนมากมายได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อคิดในการดำเนินชีวิตจากการทำงานด้านพิธีการทางการทูต การดูแลความปลอดภัยผู้นำในระดับประเทศและระดับโลก ทั้งนี้เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายในการที่ทางThe Diplomat Network มีแผนที่จะได้เปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ร่วมทำงานในงาน APEC ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปลายปีนี้ เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่กลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ เนื่องจากได้เห็นถึงศักยภาพในตัวอาสาสมัครกลุ่มดังกล่าวจากการทำงาน Dinner Incredible ที่ผ่านมา 

นางสาวพันชนะ วัฒนเสถียร นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่และผู้ก่อตั้งโครงการฟู้ด ฟอร์ ไฟเตอร์ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดจากประสบการณ์การทำงานด้านการบริหารจัดการองค์กรสาธารณกุศล และจากโครงการ Food For Fighters รวมถึงได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจที่เป็นจุดเริ่มต้นของการริเริ่มโครงการ “KYTA Youth Leadership Program” ว่า

“ค่ายเยาวชนในครั้งนี้เราจัดขึ้นมาเป็นครั้งแรกเพราะอยากจะให้น้องๆที่ได้ร่วมงานกันจากงาน Dinner Incredible เมื่อปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมามาช่วยกันถอดบทเรียนจากการทำงานซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาที่น้อง ๆ เรียนออนไลน์ ขาดโอกาสในการทำกิจกรรม พบปะผู้คน ทำให้ขาด human touch และ พอเราได้ทำร่วมทำงานด้วยกันได้เห็นถึงพลังของเด็ก ๆ ที่มีความกระตือรือร้น ทั้งนี้ส่วนหนึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมให้เขาก่อนจะออกไปทำงานอีกด้วย ( น้อง ๆ ส่วนใหญ่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 และบางคนจบแล้วแต่ยังไม่ได้ทำงาน) และทำให้น้อง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม เครือข่ายจิตอาสา การช่วยกันพยุงสังคม การเสริมสร้างพัฒนาทักษะของความเป็นผู้นำ โดยตั้งใจว่าจะจัดค่ายนี้ทุก ๆ สองเดือน เพื่อเป็นการสร้างผู้นำที่เปี่ยมด้วยความเมตตา (Compassionate Leadership) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญท่ามกลางความผันผวนของโลกยุคปัจจุบัน

กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมพูดคุยกับนายณรงค์ฤทธิ์ สุขไชยปราการ เจ้าของสวนเอเดน ออร์แกนิกส์ และ นางสาวปวีนา เชี่ยวพานิช เจ้าของร้าน EL CAFÉ ผู้ประกอบการหัวใจสีเขียวรุ่นใหม่ ที่ได้มาร่วมแบ่งปันแนวคิดการทำธุรกิจร้านกาแฟที่ใส่ใจชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตามหลัก SDGs ทั้งแนวคิดการสร้างความสมดุลระหว่างการประกอบธุรกิจและสิ่งแวดล้อม การใช้ภาชนะวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการจำกัดขยะ ภายใต้แนวคิดคาเฟ่ขนาดเล็กท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ 

นอกจากนี้นางสาวพันชนะ วัฒนเสถียรได้นำคณะผู้เข้าอบรมได้เข้าพบเพื่อเล่าถึงสถานการณ์การพัฒนาการท่องเที่ยวเขาใหญ่ ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้กับคณะของ Mr. Renaud Meyer,Resident Representative จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)แห่งประเทศไทยในโอกาสที่มาทำกิจกรรมที่เขาใหญ่ พร้อมมอบของที่ระลึกผลงานภาพวาดจากนิทรรศการ “The Colors of Nature” ผลงานของนางสาวรักชนก ช่วยเหลือ นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในผู้เข้าอบรมและอาสาสมัครรุ่นใหม่จากโครงการ Young Khao Yai & และอาสาสมัครจากโครงการ Food For Fighters 

และนางสาววัชรีภรณ์ อรุณพันธุ์ หรือ น้องเฟิร์ส ตัวแทนจากกลุ่ม Young Khao Yai ยังได้เล่าถึงประสบการณ์ในการเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครของสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ รวมถึงโครงการต่างๆ อาทิ Food For Fighters, Dinner Incredible ฯลฯ ว่า

“การเริ่มต้นทำงานอาสาสมัครของเธอ เธอเริ่มจากศูนย์ โดยที่ไม่รู้อะไรเลย แต่เธอรู้สึกขอบคุณที่ได้รับโอกาสดี ๆ มากมายซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหน และเนื่องจากเธอได้ทำงานร่วมกับ Food For Fighters และ สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ เธอจึงได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือผู้คนในฐานะอาสาสมัคร เช่น โครงการพัฒนาเศรษฐกิจสำหรับผู้ประกอบการในเขาใหญ่ที่ทางสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่เชิญเชฟมิชลินสตาร์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ เชฟหนุ่ม ธนินทร จันทรวรรณ จากร้านชิม บาย สยาม วิสดอม และเชฟแอนดี้ เอกยังสกุล จากร้านTable 39, ผัดไทยไฟทะลุ มาส่งเสริมส่วนผสมที่ปลูกในท้องถิ่นและการทำเกษตรอินทรีย์ในเขาใหญ่และยังจัดคอร์สการสอนทำอาหารให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ร่วมกับโครงการ Food For Fighters เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วอีกด้วย”

และนางสาวกุลภัสสร์ ไชยวงษ์สุริยะ หรือ น้องไหม นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาสาสมัครอีกท่านในโครงการยังได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานกับสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่และ งาน Dinner Incredible ว่า 

ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของ COVID-19 นักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนมาก ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว การเรียนออนไลน์และการเว้นระยะห่างทางสังคมมีผลอย่างมากต่อการเรียนรู้และการสื่อสาร เธอกล่าวว่าการทำงานกับสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่กลายเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ดี “ไหมเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริงเลย แต่พี่ ๆ ยังคงเชื่อมั่นในตัวเราและสนับสนุนเราจนในที่สุดเราก็สามารถทำงานทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ การได้ร่วมทำงาน Dinner Incredible เป็นโอกาสที่หายากที่เราจะได้มาร่วมงานกับนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และเชฟมิชลินชั้นนำมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ไหมจึงชวนเพื่อน ๆ จากมหาวิทยาลัยมาร่วมงานและสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพเพื่อร่วมงานกันต่อไปในอนาคต”

และโปรแกรมสุดท้ายก่อนปิดค่าย น้อง ๆ ยังได้พบกับนางสาวเจน จงสถิตวัฒนา ผู้บริหารโรงแรมเรนทรี เรสิเดนซ์ พาน้อง ๆ เดินชมห้องสมุดกลางหุบเขาท่ามกลางธรรมชาติ ที่เกิดจากแรงบันดาลใจการทำธุรกิจหนังสือของครอบครัวที่มุ่งเสริมสร้างให้คนไทยรักการอ่าน และยังเล่าถึงแนวคิดการสร้างโรงแรมดังกล่าวให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ (Nature Learning Space) และแนวคิด Green Hotel ที่นำเสนอความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและชุมชน เช่น การแจกขวดน้ำให้แก่ผู้แขกทุกท่านเพื่อลดการใช้ขวดน้ำพลาสติก, การทำเกษตรอินทรีย์ และจักรยานปั่นน้ำเพิ่มออกซิเจนเพื่อแก้ปัญหาน้ำเสีย 

ปิดท้ายด้วยการนำพาคณะไปพบกับลุงน้อย -นายสุรินทร์ สนธิระติ “สวนซ่อนศิลป์” ผู้เปลี่ยนแปลงพื้นที่รกร้างให้กลายเป็นป่าขนาด 120 ไร่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ และจิตรกรสีน้ำผู้นิยมชีวิตกลางป่ากับครอบครัวที่รัก สวนซ่อนศิลป์จึงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยศิลปะและความร่มรื่นของป่าไม้ ลุงน้อยพาคณะน้อง ๆ ชมหอศิลป์ที่มีผลงานวาดสีน้ำจากศิลปินระดับโลก หลังจากได้เพลิดเพลินกับงานศิลปะและแรงบันดาลใจในการพัฒนาพื้นที่แล้ว น้อง ๆ ก็ได้ลิ้มรส อาหาร ขนมและเครื่องดื่มแสนอร่อยจากครัว “กลางป่า” จากเชฟตะเกียงอีกด้วย

หากองค์กรใดสนใจสนับสนุนกิจกรรม KYTA Youth Leadership Program สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เตเต้- พันชนะ วัฒนเสถียร 092 6455464 หรือติดตามข้อมูลการจัดกิจกรรมได้ที่ FB: Foodforfightersth, สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่, The Diplomat Network

ขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทุกคนThe Diplomat Network, Good Mission, ENPEO Consulting ร้านเป็นลาว,ร้าน EL Café, โรงแรมเรนทรี เรซิเดนซ์,สวนเอเดน ออร์แกนิกส์ ปากช่อง,The Gardener Khao Yai,สวนซ่อนศิลป์,World Reward Solutions, Trekking Thailand Tour 



Share:

กรมสุขภาพจิต ร่วมกับสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และเครือข่ายพันธมิตร รวมพลังสนับสนุนผู้ป่วยไบโพลาร์ให้เข้าถึงการรักษาอย่างยั่งยืน ในงาน World Bipolar Day 2022


จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO)
รายงานว่าประมาณ 5% ของประชากรโลกป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ ขณะที่มีผู้ป่วยเพียง 1-2% เท่านั้นที่ได้รับการวินิจฉัย ซึ่งอายุเฉลี่ยของการเกิดโรคไบโพลาร์ คือ อายุ 20 ปี โดยอัตราความชุกของโรคไบโพลาร์ มักจะเกิดขึ้นในผู้หญิงที่ 3.3% ซึ่งมากกว่าในผู้ชายที่ 2.6% นับเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย ขณะที่ทั่วโลกยังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้วิถีการดำเนินชีวิตและสุขภาพจิตของหลายคนได้รับผลกระทบ หลายคนต้องเผชิญกับความเครียดในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ รวมถึงโรคทางจิตเวชอื่นๆ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการกำเริบของโรคได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่สังคมไทยควรต้องตระหนักรู้ถึงโรคไบโพลาร์ เพื่อให้ครอบครัวและคนใกล้ชิดเกิดความเข้าใจอาการและพฤติกรรมของโรคสนับสนุนให้บุคคลอันเป็นที่รักเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกๆ ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ทำให้โรคไบโพลาร์สามารถรักษาหายได้

โดยทุกวันที่ 30 มีนาคมของทุกปี ตรงกับ ‘วันไบโพลาร์โลก’ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดกิจกรรมกระตุ้นให้สังคมไทยตระหนักถึงโรคไบโพลาร์มาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2565 นี้ กรมสุขภาพจิต ร่วมกับสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนโดย ซาโนฟี่ ประเทศไทย ได้จัดงาน World Bipolar Day 2022 เปิดใจให้ไบโพลาร์ ปี 2 ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ใกล้ไกล ไบโพลาร์อุ่นใจ ด้วยจิตเวชทางไกล’ โดยมีแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ จิตแพทย์ และตัวแทนผู้ป่วยไบโพลาร์ ‘ดีเจเคนโด้’ ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรง เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ให้สังคมเข้าใจถึงพฤติกรรมผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ เกิดทัศนคติที่ดี ไม่แบ่งแยกผู้ป่วยออกจากสังคม และสนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยได้รับเกียรติจาก ดร. สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิด

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ผ่านวิดีทัศน์ที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับงานนี้ว่า “กระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักถึงการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ รวมถึงโรคทางจิตเวชอื่นๆ เพื่อให้สังคมเข้าใจและเปิดใจยอมรับเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข นอกจากนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้ป่วยไม่สะดวกในการเดินทางมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อครอบครัวผู้ป่วยด้วย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้มีนโยบายสนับสนุนหน่วยบริการด้านสุขภาพจิต โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาบริการให้มีความก้าวหน้าทันสมัย สามารถให้บริการจิตเวชทางไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อผู้ป่วยไบโพลาร์ เพื่อได้รับการบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง และฟื้นฟูกลับมาเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป”

พญ. อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์ของโรคไบโพลาร์ในประเทศไทย ในปี 2564 พบว่ามีผู้ป่วยจำนวน 38,681 คนที่เข้าถึงการรักษา ซึ่งลดลงจากปี 2563 ถึง 3% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ป่วยจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ หรืออาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่ง ‘โรคไบโพลาร์’ เป็นหนึ่งในโรคทางอารมณ์ที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด รวมไปถึงการทำร้ายตัวเองและปัญหาการฆ่าตัวตาย โดยในช่วงการระบาดโควิด-19 มีผู้ที่กังวลและทำแบบประเมินสุขภาพจิต ผ่าน Mental Health Check พบว่า ช่วงสายพันธุ์เดลต้าระบาด ประมาณเดือนสิงหาคม 2564 มีผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้น อาทิ กลุ่มที่ถูกเลิกจ้างงาน กลุ่ม First Jobber ที่เพิ่งจบการศึกษาและหางานทำไม่ได้ กลุ่มที่ติดเชื้อโควิด-19 จนเกิดภาวะเครียด ซึ่งในช่วงปี 2564 จะเห็นได้ว่ามีการเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินการเพิ่มศักยภาพในการบำบัดรักษาผู้ป่วยไบโพลาร์ด้วย ‘ระบบจิตเวชทางไกล’ หรือ ‘Telepsychiatry’ ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีในสถาบันและโรงพยาบาลจิตเวชทั้ง 20 แห่งทั่วประเทศ โดยมีแผนจะขยายบริการในเครือข่ายอื่นๆ ให้ครอบคลุมมากที่สุด สำหรับรูปแบบการให้บริการตรวจรักษาทางไกลนี้ครอบคลุมทุกการรักษาในทุกด้านอันเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย ประกอบด้วย การให้คำปรึกษาตรวจวินิจฉัยโดยจิตแพทย์ บริการให้คำปรึกษาเรื่องยาจิตเวชทางไกลโดยเภสัชกร บริการให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิตและจิตเวช จิตบำบัดทางไกลโดยนักจิตวิทยาคลินิก บริการเยี่ยมบ้านทางไกลและบริการสังคมสงเคราะห์ทางไกลโดยนักสังคมสงเคราะห์ บริการให้การฟื้นฟูสมรรถภาพโดยทีมฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยในอนาคตกรมสุขภาพจิตจะดำเนินการพัฒนาระบบบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้ป่วยไบโพลาร์อย่างทั่วถึง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ในฐานะบริษัทชั้นนำด้านสุขภาพระดับโลก คุณมารีน คินยาร์ค สตูยาโนวิช ผู้จัดการใหญ่ ซาโนฟี่ ประเทศไทยและมาเลเซีย กล่าวว่า “ซาโนฟี่ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งและขอขอบคุณสำหรับโอกาสที่ได้ร่วมสนับสนุนกรมสุขภาพจิต และสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย รวมถึงเครือข่ายพันธมิตร ในการจัดงาน World Bipolar Day 2022 ในครั้งนี้ เพื่อสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ และซาโนฟี่พร้อมสนับสนุนการใช้ ‘ระบบจิตเวชทางไกล’ ที่นับเป็นก้าวสำคัญของวงการแพทย์ ในการรักษาผู้ป่วยไบโพลาร์และผู้ป่วยโรคจิตเวชอื่นๆ เทคโนโลยีดิจิทัลทางการแพทย์ (Digital Health) เป็นเรื่องที่ซาโนฟี่ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนมาโดยตลอด เพราะนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษา สามารถติดตามผลได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การดูแลผู้ป่วยทางไกลเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเทคโนโลยียังเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมในระบบการดูแลสุขภาพอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของซาโนฟี่ในการขับเคลื่อนเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมและยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

สำหรับบทบาทของ สปสช. นพ. จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า “เนื่องด้วยผู้ป่วยโรคไบโพลาร์และผู้ป่วยจิตเวชอื่นๆ เป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด ต่างจากโรคอื่นๆ ที่จะพยายามเข้ารับการรักษา ขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะแยกตัวออกจากสังคมและครอบครัว แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าจะมีบทบาทสำคัญในอนาคต คือ การใช้ระบบการรักษาทางไกล (Telemedicine) หรือทางจิตเวชเรียกว่า Telepsychiatry สำหรับในส่วน สปสช. ซึ่งมีหน้าที่ในการสนับสนุนงบประมาณ กองทุนก็ได้จัดงบประมาณเพิ่มเติมให้หลังจากที่ริเริ่มหน่วยบริการรักษาทางไกลเข้ามา ในส่วนการให้บริการทางไกลของโรคไบโพลาร์นั้น จะให้บริการทั้งกับตัวผู้ป่วยเอง หรือญาติผู้ป่วย ซึ่งอาจจะมีการใช้กลไกทางสังคม เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รบสต.) หรือโรงพยาบาลชุมชน เข้ามาผนวกกัน และหากต้องการเบิกจ่ายในส่วนบริการทางไกลให้ง่ายและสะดวกขึ้น สามารถติดต่อได้ที่ สปสช. โดยจะมีทีมลงไปดูแลในส่วนของระบบทางไกลโดยจะผูกเชื่อมต่อกับกลไกทางการเงินที่ สปสช. ได้ให้การสนับสนุน”

ปิดท้ายด้วยโรงพยาบาลนำร่องที่ได้นำบริการรูปแบบ ‘ระบบจิตเวชทางไกล’ มาปรับใช้กับโรคไบโพลาร์และโรคจิตเวชอื่นๆ เป็นแห่งแรก พญ. มธุรดา สุวรรณโพธิ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลศรีธัญญา กล่าวเสริมว่า “ระบบจิตเวชทางไกล (Telepsychiatry) มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ และโรคทางจิตเวชอื่นๆ โดยโรงพยาบาลศรีธัญญา ได้เริ่มดำเนินการเป็นแห่งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา โดยให้การทำจิตบำบัดผ่านระบบออนไลน์ หลังจากนั้นจึงได้ขยายบริการรูปแบบออนไลน์ไปยังส่วนต่างๆ เพิ่มขึ้น อาทิ บริการจิตเวชทางไกลให้กับนักโทษในเรือนจำ สถานสงเคราะห์ หรือให้บริการยาผ่านทางไปรษณีย์ เป็นต้น โดยในปี 2563 สามารถให้บริการได้ทั้งสิ้น 2,081 ราย ต่อมาในปี 2564 สามารถขยายบริการจิตเวชทางไกลเพิ่มขึ้นเป็น 17,490 ราย และในปี 2565 ได้เริ่มให้บริการกับประชาชนเป็นรายบุคคล จากข้อมูลล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โรงพยาบาลศรีธัญญาได้ให้บริการผ่านระบบจิตเวชทางไกล จำนวน 3,717 ราย ซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในปีนี้ โรงพยาบาลศรีธัญญาได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งต่อผู้ป่วยทั้งภายในและภายนอกกระทรวงสาธารณสุขของจังหวัดนนทบุรี โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินโดยผ่านระบบออนไลน์ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการ และยกระดับการส่งต่อผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาชน ถือเป็นพลังสำคัญที่จะสนับสนุนให้ผู้ป่วยไบโพลาร์ และผู้ป่วยจิตเวชอื่นๆ เข้าถึงการรักษาอย่างถูกวิธี และรอดพ้นจากการตีตราของสังคม คนในสังคมต้องช่วยกันลดการใช้คำที่สะเทือนใจมาหยอกล้อเล่นกันหรือเป็นคำพูดติดปาก เช่น คำว่า ‘ไบโพลาร์’ หรือ ‘โรคจิต’ เป็นต้น ในทางกลับกัน สังคมควรเข้าใจผู้ป่วย เนื่องจากโรคไบโพลาร์เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่มีการขึ้นและลงของอารมณ์อย่างรุนแรง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาการแมเนีย (Mania) คือ อารมณ์ดี คึกคัก สนุกสนาน และกลุ่มอาการซึมเศร้า (Depress) คือ หดหู่ คิดลบ อยากฆ่าตัวตาย สาเหตุสำคัญเกิดจากสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ ฉะนั้น คนในครอบครัวมีบทบาทสำคัญที่จะพูดในเชิงบวกเพื่อให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์เพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะ ‘โรคไบโพลาร์สามารถรักษาให้หายได้’ ด้วยการใช้ยาเป็นหลัก และอาจมีการใช้จิตบำบัดควบคู่กันไปด้วย เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข

Share:

ททท. เดินหน้าโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand ดันเทรนด์ทำงานคู่ท่องเที่ยวได้ทุกที่ กระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในประเทศ

บ่ายวันนี้ (29 มีนาคม 2565) นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand ตอบโจทย์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวF.I.T ด้วยการท่องเที่ยววิถีใหม่ หรือ New Normal ภายใต้แนวคิด Working & Outing from Somewhere เปลี่ยนทุกที่เป็นสถานที่ทำงานคู่ท่องเที่ยว
โดยมี เข้ม-หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล นักแสดงช่อง 7, นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายบุญเสริม ขันแก้ว รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว มาร่วมในงานแถลงข่าวฯ ณ The Jam Factory, Bangkok  ทั้งยังได้รับเกียรติจาก นักแสดงสาวเชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ มาร่วมแชร์ประสบการณ์ผ่านวิดีโอคอลล์

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 
(ททท.) กล่าวว่า สืบเนื่องจากความสำเร็จของโครงการ Workation Thailand ในปีที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมา สามารถสร้างกระแสการท่องเที่ยวในรูปแบบ Workation ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งได้พัฒนาและพื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา 

ส่งผลให้การเติบโตของตลาดท่องเที่ยวในประเทศเป็นไปตามเป้าหมายที่ ททท. ได้กำหนด สามารถกระจายรายได้เข้าสู่ตลาดท่องเที่ยว ในประเทศ มูลค่ามากกว่า 170 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อเป็นกระตุ้นการท่องเที่ยว ภายในประเทศให้เติบโต ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการเดินทางในรูปแบบ Working & Outing from Somewhere กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ต่อยอด โครงการ Workation Thailand ในปีที่ 3 

ภายใต้แนวคิด Workation Paradise Throughout Thailand เน้นให้เกิดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบ Workation มากยิ่งขึ้น และทำให้เกิดการเดินทางในวันธรรมดามากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวประเภท F.I.T (Free Individual Traveler)

โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand จึงเป็นการเปิดโอกาสให้บุคลากรในหน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ และกลุ่มคนวัยทำงาน สามารถเปลี่ยนสถานที่ทุกที่ให้เป็นที่ทำงาน การจัดกิจกรรมการประชุม พบปะสังสรรค์ ท่ามกลางบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม โดย ททท. ได้สร้างช่องทางการนำเสนอสินค้าท่องเที่ยวในกลุ่ม Workation ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงสินค้าของคนทำงานยุคใหม่ 

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามารถปรับและเปลี่ยนจากธุรกิจที่พักแบบเดิมมาสู่มิติใหม่ของการบริการ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมและรูปแบบความนิยมเดินทางของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นโอกาสและการยกระดับธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทยให้สามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน

โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand ททท. ได้บูรณาการความร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จัดทำเป็นแพ็กเกจท่องเที่ยวที่เหมาะสมสำหรับการออกเดินทางและทำงานได้อย่างอิสระ ผ่านบนเว็บไซต์ www.tourismthailand.org/workationthailand และแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1. Resort & Hotel Special Deal วันธรรมดาของโรงแรม ห้องพักโรงแรม ที่จัดประชุม 
2. CSR Outing / เที่ยวตามธีม
3. Gastronomy / Luxury 
4. Special Deal / ท่องเที่ยวตามความสนใจพิเศษ

ไม่เพียงเท่านั้น โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand ยังได้ร่วมมือกับ TRUE HEALTH มอบสิทธิพิเศษพบแพทย์ผ่านแอปพลิเคชั่น MorDee - หมอดีได้ฟรี สำหรับนักท่องเที่ยวที่กดรับสิทธิพิเศษบนเว็บไซต์ของโครงการฯ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจนำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวและสิทธิพิเศษ หรือนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์  www.tourismthailand.org/workationthailand หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Official Line : @workationthailand

Share:

Synergy WorldWide ธุรกิจเครือข่ายดังจากอเมริกา ประกาศสู้ศึกงัดกลยุทธ์สานธุรกิจเครือข่ายในไทย

Synergy WorldWide (ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์) ธุรกิจเครือข่ายชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้การบริหารของบริษัท “เนเจอร์ซันไชน์” Nature Sunshine  เป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 50 ปี และได้จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐอเมริกา มาวันนี้ ได้เปิดทำการในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานานกว่า 24 ปีแล้ว และเพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จมาอย่างยาวนาน ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง ประเทศไทย จึงจัดงานฉลองการก้าวสู่ปีที่ 25 
พร้อมกับเปิดตัวแบรนด์ ซินเนอร์จี้ ในภาพลักษณ์ใหม่ที่ได้ทำการรีแบรนด์เข้าสู่ยุค Synergy 2.0 ที่เน้นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น Synergy Experience Center บนพื้นที่โซนธุรกิจใจกลางเมืองอย่างถนนรัชดา อาคาร CW Tower ชั้น 2 ขนาดกว่า 140 ตร.ม. เพื่อการสร้างประสบการณ์สุขภาพดีกับซินเนอร์จี้ให้กับทุกท่าน โดย Synergy Experience Center ยังมาพร้อมเทคโนโลยีอันทันสมัยในการตรวจวิเคราะห์และให้ข้อมูลสุขภาพกับคุณได้อย่างตรงจุดและครบวงจร 

มร.เบน มางาเล   ผู้ช่วยผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง ประเทศไทย เป็นหนึ่งในธุรกิจเครือข่ายชั้นนำระดับโลกที่มีเครือข่ายธุรกิจกระจายอยู่ทั่วโลก อาทิ  สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย ออสเตรีย, แคนาดา, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, เยอรมนี, ฮ่องกง, อินโดนีเซีย, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี, มาเลเซีย, เนเธอร์แลนด์,นอร์เวย์, ฟิลิปปินส์, โปแลนด์, สิงคโปร์, สเปน, สวีเดน, ไต้หวัน ,เวียดนาม และ ไทย เป็นต้น “สำหรับประเทศไทย ถือเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในส่วนของตลาดเครือข่ายขายตรง จึงเป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ ให้ความสนใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดแห่งนี้ ” 

ตลอดระยะเวลากว่า 24 ปีที่ผ่านมา ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากผู้บริโภคในประเทศไทย ที่ใส่ใจในด้านสุขภาพทั้งของตัวเอง ครอบครัวหรือแม้แต่คนใกล้ชิด ซึ่งเป็นผลมาจาก ผลิตภัณฑ์ของซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์เป็นที่พึงพอใจซึ่งผลิตภัณฑ์ของเรายังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากธรรมชาติเกือบทั้งหมด โดยได้รับการรับรองมาตรฐานการันตีความน่าเชื่อถือจากหน่วยงานต่างๆ อีกมากมาย อาทิ NSF, GMP, TGA, ISO9001, ISO 17025, USDA ORGANIC และ NOT TESTED ON ANIMALS เป็นต้น 

ขณะเดียวกัน ภายใต้การบริหารงานซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ ที่มีความโดดเด่น คือ เรามีแผนธุรกิจแบบ Dual Linear Mega-Match 100% และการจ่ายผลตอบแทน 7 ช่องทาง ซึ่ง มร.เบน มางาเล กล่าวว่า “เป็นระบบแผนการตลาดที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถสร้างรายได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน รวมทั้งยังเป็นแผนกระจายรายได้ให้กับสมาชิกอย่างเท่าเทียมกันได้มากที่สุด ถือเป็นการสอดรับกับหลักแนวคิดของซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ ที่มีอยู่แล้วในเรื่องของการส่งต่อสุขภาพที่ดี ไปพร้อมกับการส่งต่อรายได้ที่ดีให้กับทุกคน นอกจากนี้เรายังมีระบบ Eagle System ที่เข้มแข็ง“

โดยที่ผ่านมา ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง มีการเติบโตอย่างน่าพอใจจากฐานสมาชิกที่มีผู้มาใหม่เข้าสู่ธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ซินเนอร์จี้ตั้งเป้าเติบโตอีก 5 เท่าภายใน 5 ปี โดยจะมาจากนักธุรกิจในกลุ่มผู้นำทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น เป้าที่วางไว้สำหรับปี 2022  ยังคงอยู่กับจำนวนสมาชิก   ณ ตอนนี้เรามีฐานสมาชิก  กว่า 200,000 คน  โดยยึดพื้นฐานของการเป็นผู้บริโภคเป็นหลักและผลิตภัณฑ์หลักยังคงเป็น Pro-Argi9 Plus  โปร์อาร์จีไนน์ พลัส , Chlorophyll Plus คลอโรฟิลล์ พลัส  , Synergy Bodiguard ซินเนอร์จี้ บอดิการ์ด และ สกินแคร์น้องใหม่ I’amara ลามาร่า

มร.เบน มางาเล ยังกล่าวด้วยว่า วันนี้ ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ ถือเป็นผู้นำที่เข้มแข็งในธุรกิจเครือข่าย “จริงๆ แล้วกลุ่มเป้าหมายของเราในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่ใช่แค่คนที่มีปัญหาสุขภาพ แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนที่ใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองด้วย และเพื่อเป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น เรามีแผนในการเข้าถึงกลุ่มเจน Y (Gen Y) เพิ่มขึ้น และเพื่อให้สอดรับกับแผนที่ว่านี้  ทางบริษัทได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของตัวเอง ด้วยการปรับโฉมบริษัทฯ ให้มีความทันสมัยมากขึ้น ไปพร้อมๆ กับการปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเป็นไปตามแผนการเติบโตที่ได้วางไว้” 

อีกทั้งกลยุทธ์ทางการตลาดนั้น ซินเนอร์จี้มีแผนการผสมผสานการตลาดในแบบออนไลน์และออฟไลน์ไว้อย่างลงตัว เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ในทุกมิติ เช่นเดียวกับการตัดสินใจลงทุนเพื่อขยายพื้นที่บริษัท เพิ่มขึ้นเพื่อสร้าง Synergy Experience Center ที่บริเวณชั้น 2 ของอาคาร CW Tower ซึ่งจะมาทำหน้าที่เป็นศูนย์การดูแลสุขภาพ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัยอย่างเครื่อง Synergy InBody และ เครื่องSynergy 3D Face Analyst จะมาช่วยวิเคราะห์มวลรวมของสุขภาพในร่างกาย รวมถึงผิวหน้า  เพื่อให้ทุกท่านได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการดูแลสุขภาพ รวมถึงรับคำปรึกษาในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วย” ถือเป็นอีกเป้าหมายที่ ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง ในวันนี้เพื่อก้าวไปสู่การเป็นธุรกิจเครือข่ายชั้นนำในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างที่สุด

ขณะที่ทาง มร. แดน นอร์แมน รองประธานกรรมการบริหาร และประธานบริหารเอเชีย กล่าวถึงการเติบโตอย่างมั่นคงมากว่า 50 ปี ของบริษัทเนเจอร์ซันไชน์ที่เป็นบริษัทแม่ของซินเนอร์จี้ ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกการตอบรับและทุกความท้าทายที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้บริษัทของเราก้าวหน้าและแข็งแกร่งขึ้นในทุกวัน และมียอดที่เติบโตขึ้นในปีที่ผ่านมาถึง 15.3% ซึ่งในปีนี้ทางซินเนอร์จี้ก็มีความยินดีที่จะเชิญชวนทุกท่านไปเยี่ยมชมต้นกำเนิดซินเนอร์จี้ ที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย  

ด้าน มร.ไซมอน จึง  ผู้ช่วยผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชีย เผยว่า ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ เอเชีย ในหลายปีที่ผ่านมาเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาเราเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 28% โดยปัจจัยความสำเร็จของเรามาจากการนำเสนอโอกาสใหม่ๆ ผู้นำที่มีศักยภาพ รวมถึงแผนการตลาดที่น่าสนใจและดึงดูด 

ช่องทางการติดต่อ    www.facebook.com/synergyworldwide.th 
เวบไซต์  http://www.synergyworldwide.com/
#ซินเนอร์จี้ #Synergy #SynergyWorldWide #SynergyThailand 

Share:

มธ. เปิดตัว e-learning platform TU Next และจัดเสวนาทิศทางชุดทักษะแห่งอนาคตเพื่อก้าวไปข้างหน้ากับ มธ.ร่วมกับ Jobbkk.com และ ARIP


กรุงเทพฯ 29 มีนาคม 2565 -  สถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ บริษัทจัดหางาน Jobbkk.com และบมจ.เออาร์ไอพี จัดงานเสวนา ผ่าน ZOOM ในหัวข้อ The Future Skillset of 2022 and Beyond เสวนาทิศทางชุดทักษะแห่งอนาคตเพื่อก้าวไปข้างหน้ากับ มธ. และระบบเรียนรู้ออนไลน์ TU NEXT: www.tunext.com เพื่อให้ผู้บริหารและคนทำงานที่มีไฟในการพัฒนาตัวเอง รู้ถึงทิศทางและแนวทางการปรับตัวเพื่อตลาดแรงงานในอนาคต 

รศ.เกศินี วิฑูรชาติ  อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เกียรติเป็นประธานและกล่าวเปิดงานเสวนา The Future Skillset of 2022 and Beyond ว่า ตลาดแรงงานโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในอีก 5 ปีข้างหน้า งาน 85 ล้านตำแหน่งจะหายไป และจะมีตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้น 97 ล้านตำแหน่ง ก่อให้เกิดปัญหาแรงงานในวงกว้าง คนจำนวนมากจะไม่มีงานทำ และงานจำนวนมากจะไม่มีคนทำ เนื่องจากขาดทักษะที่ต้องการ ทักษะที่มีในปัจจุบันอาจไม่เพียงพออีกต่อไป

เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มธ. จึงได้พัฒนา TU NEXT e-learning platform ระบบเรียนออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อให้คนรักการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือคนรุ่นใหม่ได้เข้าอบรมในหลักสูตรเพื่อ Upskill & Reskill  ในทักษะที่จำเป็น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันเป็นการสร้างเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างภาครัฐและเอกชน ให้เกิดการบูรณาการ ส่งเสริมการเรียนการสอนผ่านระบบเรียนรู้ออนไลน์ได้หลากหลาย โดยอยู่ภายใต้กรอบแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570)

นายทัศไนย เหมือนเสน ผู้ก่อตั้ง Jobbkk.com กล่าวในหัวข้อเสวนา “การปรับตัวให้พร้อม เพื่อตลาดแรงงานในอนาคต” ว่า โลกของเรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Disruption), เทรนด์สังคมผู้สูงอายุ, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก, อิทธิพลของโซเชียลมีเดียและบิ๊กดาต้า ทำให้บุคลากร รวมถึงองค์กรต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด พร้อมรับมือกับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป โดยนายทัศไนยเน้นย้ำว่าคนทำงานรุ่นใหม่ต้องมี Meta Skill อันครอบคลุมถึงการสร้างทัศนคติแบบ Growth Mindset มีความพร้อมที่จะเติบโต กระตือรือร้น พร้อมจะพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ (Lifelong Learning) อยู่เสมอ พร้อมปรับตัวกับเทรนด์เกิดใหม่ในตลาดแรงงาน 4 เทรนด์สำคัญ ได้แก่ การเติบโตของงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล, ความสำคัญของ Soft Skills ที่เทียบเท่ากับ Hard Skills, ความสำคัญของงานที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า และการตระหนักว่าไม่มีทักษะใดที่จะเป็นที่ต้องการตลอดไป ดังนั้นลูกจ้าง และนายจ้างจึงจำเป็นจะต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

นายบุญเลิศ นราไท  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เออาร์ไอพี แบ่งปันประสบการณ์ในฐานะบริษัทสื่อไอทีและธุรกิจชั้นนำของประเทศในหัวข้อเสวนา “Upskill & Reskill เมื่อความรู้มีวันหมดอายุ เพื่อปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง ลูกจ้าง นายจ้าง ต้องไม่หยุดหาความรู้” ว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 5G/6G จะทำให้เกิด Zero Latency หรือการไร้ความหน่วงในการรับ-ส่งข้อมูล ส่งผลให้นวัตกรรมแห่งอนาคตที่เคยเป็นเรื่องไกลตัวเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น เช่น รถยนต์อัตโนมัติ, ระบบสายพานผลิตอัตโนมัติ หรือการขนส่งโดยใช้โดรน ทำให้งานหลาย ๆ ตำแหน่งอาจถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะงานที่เป็นกิจวัตร เมื่อความรู้ที่ลูกจ้าง และนายจ้างมีในปัจจุบันกำลังจะหมดอายุ การ Reskill & Upskill จึงจำเป็น ในฐานะนายจ้าง นายจ้างจะต้องปรับองค์กรให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง ตระหนักถึงความสำคัญในการเสริมทักษะใหม่ที่จำเป็นให้กับพนักงานเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ในฐานะลูกจ้าง ลูกจ้างจะต้องตระหนักถึงทักษะที่จำเป็นในการทำงานในอนาคต พัฒนาตนเองให้มีทักษะดังกล่าว เพื่อให้เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน 

ทักษะที่จะจำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคต ได้แก่ ความสามารถในการจัดการปัญหาบนฐานการคิด (thinking-based solution), ความฉลาดรู้ทางสารสนเทศ (information literacy), ความฉลาดรู้ทางดิจิทัล (digital literacy), ความสามารถในการมีอิทธิพลต่อความคิด (influencing and leading to goals) เป็นต้น 

อ.ดร.สุรพิชย์ พรหมสิทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ เน้นย้ำว่า ด้วยสถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนา Reskill & Upskill ทรัพยากรบุคคลของประเทศ จึงได้พัฒนา TU NEXT e-learning แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัลที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้ามาเพิ่มเติมความรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา (Learn Anywhere Anytime) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในเรื่องที่ตนเองสนใจได้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เรียนคนอื่น ๆ เพื่อสร้างเครือข่าย (Class Networking) มีระบบวัดผลที่มีประสิทธิภาพ และผู้เรียนสามารถขอดาวน์โหลดประกาศนียบัตรในนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU Certificate) ได้ เมื่อเรียนจบและสอบผ่านตามเงื่อนไข รองรับทุกอุปกรณ์ (Easy for all devices) เพื่อประสบการณ์การเรียนรู้ที่สะดวกและมีประสิทธิภาพที่สุด ปัจจุบันนี้แพลตฟอร์ม TU NEXT มีหลักสูตรให้ผู้เรียนเลือกเรียนมากมายที่ได้รับการออกแบบหรือรับรองโดยคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

อ.ดร.สุรพิชย์ ยังกล่าวเสริมว่า ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังมีโครงการเปิดตัวหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง ที่มุ่งเน้นการแบ่งปันประสบการณ์ สร้างเครือข่าย ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกลุ่มผู้บริหารระดับสูง โดยผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ของสถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์


Share:

“นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” รีแบรนด์โรงแรมเครือ “หลับดี” พร้อมเปิดตัว โรงแรมหลับดี บางกอก สยาม โฉมใหม่หลังปรับปรุง

นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (Narai Hospitality Group) ประกาศรีแบรนด์ หลับดี (Lub d) กลุ่มโรงแรมไลฟ์สไตล์ในเครือ พร้อมเปิดให้บริการโรงแรมหลับดี บางกอก สยาม อีกครั้งหลังปิดปรับปรุง ทั้งยังเปิดคาเฟ่และบาร์ไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ที่จะอยู่คู่แบรนด์หลับดี เพื่อกระตุ้นยอดขายหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ใหม่ที่น่าจดจำ มั่นใจว่าจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ตั้งเป้าขยายโรงแรมเพิ่ม คาดทำรายได้กว่า 600 ล้านบาท ภายใน 5 ปี

วันที่ 25 มีนาคม 2565 ณ โรงแรมหลับดี บางกอก สยาม คุณนิธิดา นิธิวาสิน ผู้อำนวยการ Lub d ในเครือนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ผู้ประกอบการและผู้พัฒนาธุรกิจการบริการชั้นนำของประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารร่วมงาน “Lub d Nice to Meet You...Again” อีเวนท์แถลงข่าวรีแบรนด์และเปิดตัวโรงแรมหลับดี บางกอก สยาม หลังปิดปรับปรุง พร้อมเปิดคาเฟ่และบาร์ไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสนุกสนานของสื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ

คุณนิธิดา นิธิวาสิน ผู้อำนวยการ Lub d กล่าวว่า “หลับดี” ไม่ได้เป็นเพียงแค่โรงแรม แต่เป็นไลฟ์สไตล์การพักผ่อนและการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางมาพักผ่อนได้ “หลับดี” จึงใช้โอกาสนี้ในการรีแบรนด์หรือปรับอัตลักษณ์แบรนด์ใหม่ ครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดยได้ ‘ดีไซน์สตูดิโอ (DesignStudio)’ บริษัทแบรนด์และครีเอทีฟดิจิตอลเอเจนซี่ชื่อดังที่มีผลงานการทำแบรนด์ให้กับแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Alipay และ Airbnb มาออกแบบแบรนด์ภายใต้กลยุทธ์ ‘Go Brave’ กล้าที่จะออกจากกรอบ สะท้อนบุคลิกที่สนุกและเป็นมิตร ตอบโจทย์เป้าหมายของ “หลับดี” ที่มุ่งสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าจดจำ ‘Unforgetable Experiences’ และท้าทายให้นักเดินทางได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ

และเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คุณนิธิดาระบุว่า “นอกจากการปรับอัตลักษณ์แบรนด์ใหม่แล้วยังมีการปรับปรุง หลับดี บางกอก สยาม (Lub d Bangkok Siam) ที่ตั้งอยู่ติดสถานี BTS สนามกีฬาแห่งชาติ โดยใช้งบประมาณกว่า 50 ล้านบาท เพื่อการรีโนเวตห้องพัก 30 ห้อง ที่ผสมผสานความเป็นท้องถิ่นและความทันสมัยเข้าด้วยกัน ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและคงเอกลักษณ์ของกลุ่มลูกค้าที่ชอบโฮสเทล เพราะแบรนด์ “หลับดี” คือผู้บุกเบิกโรงแรมแนวโฮสเทลสัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมถึงเคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นโฮสเทลอันดับ 1 ด้วยความโดดเด่นด้านการบริการและการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้าพัก พร้อมเพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง และ Co-working Space ที่มีอุปกรณ์ครบครันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Workation สามารถรองรับการประชุมหรือการจัดเวิร์คช็อปเป็นกลุ่มได้”

ซึ่งในงานยังมีการเปิดตัว Rodken (รถเข็น) ไลฟ์สไตล์คาเฟ่ที่สนับสนุนความยั่งยืนของชุมชน และ District (ดิสทริก) บาร์บรรยากาศสบาย ๆ เหมาะกับการพบปะสังสรรค์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Street Meets Neighborhood’ โดย Rodken และ District จะเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับแบรนด์ “หลับดี” ในสาขาอื่น ๆ ต่อไปด้วย

คุณนิธิดาได้ปิดท้ายถึงเป้าหมายของหลับดีว่า “ปัจจุบัน “หลับดี” มีสาขาอยู่แล้ว 5 แห่ง ได้แก่ หลับดี สยาม, หลับดี เกาะสมุย หาดเฉวง, หลับดี ป่าตอง ภูเก็ต, หลับดี มากาตี ฟิลิปปินส์ และ หลับดี เสียมราฐ กัมพูชา ซึ่งจะมีแผนเปิดตัวสาขาใหม่ 2 สาขาในปี 2565 ได้แก่ หลับดี เชียงใหม่ และ หลับดี จตุจักร รวมไปถึงอีก 2 สาขา ในปี 2566 ได้แก่ หลับดี พะงัน และ หลับดี กระบี่ คาดว่าจะทำรายได้รวมมากกว่า 600 ล้านบาทภายใน 5 ปี จากนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยก่อนเปิดประเทศจะกระตุ้นให้คนไทยออกมาเที่ยวมากขึ้นผ่านโครงการของภาครัฐ อาทิ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ และ ‘ทัวร์เที่ยวไทย’ ” 

โรงแรมหลับดี สยาม กลับมาเปิดให้บริการแล้วพร้อมคาเฟ่ Rodken ที่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00 - 18.00 น. และบาร์ District ที่เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 18.00 - 23.00 น. สามารถเดินทางมาโดยลงสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ทางออก 1 หรือรถยนต์ส่วนตัวโดยจอดรถในสถานที่ใกล้เคียง ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ทางเว็บไซต์ https://lubd.com/ หรือ Facebook Page: Lub d (Bangkok Siam), Rodken, District หรือ Line Official Account: @lubdexperience และสำรองห้องพักได้ที่ contact.siam@lubd.com โทร. 02-612-4999

Share:

สนจ. จัด 105 ปี จุฬาฯ ชูภารกิจยืดอายุคนไทยให้ยืนยาวเกินร้อยปี ชวนพี่น้องนิสิตทำกิจกรรมเพื่อสังคมบนโลกออนไลน์


สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนจ.) จัดงานแถลงข่าว 105 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาฯ สนับสนุนภารกิจยืดอายุคนไทยให้ยืนยาวเกินร้อยปี โดยมี ผศ. ดร.ชัยพร ภู่ประเสริฐ รองอธิการบดี ด้านการพัฒนานิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน และอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะนายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ พร้อมด้วยประธานจัดงานฝ่ายต่างๆ ได้แก่ ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน, ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร, ดร.ศรุต วานิชพันธุ์, มกร พงษ์ธนพฤกษ์, อธิศีล ธัญญ์ ณ ป้อมเพชร และตัวแทนนิสิตปัจจุบัน จ๋า-ณปภัช วรพฤทธานนท์ BNK48 รุ่น 1 ร่วมแถลง ณ สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ  

ผศ. ดร.ชัยพร ภู่ประเสริฐ รองอธิการบดี ด้านการพัฒนานิสิต จุฬาฯ เปิดเผยว่า “ในปีนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถาปนา ครบ 105 ปี ซึ่งความสำเร็จที่ผ่านมา สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญยิ่ง ในการสนับสนุน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จุฬาฯ ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากองค์ความรู้ของประเทศ สู่การเป็นองค์กรนวัตกรรม เป็นเสาหลักของประเทศ และมุ่งสู่การยอมรับในเวทีระดับนานาชาติ ด้วยผลงานนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือสังคม และเป็นที่ประจักษ์เด่นชัด ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

ในศตวรรษที่ 2 นี้ จุฬาฯ ยังคงมุ่งมั่นเพื่อตอบโจทย์สังคมในวงที่กว้างขึ้น จากความพร้อมของจุฬาฯ ทั้งเรื่องขององค์ความรู้ คณาจารย์ นักวิจัย นิสิตปัจจุบัน และการสนับสนุนจากพี่นิสิตเก่า ทำให้คณาจารย์และนักวิจัยของเราไม่เคยหยุดคิดและทำ โดยโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ อาทิ โครงการวิจัยช่อดอกกัญชาชีวภาพเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ศูนย์วิจัยยาเสพติด วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข, โครงการจัดตั้งโรงงานต้นแบบผลิตชุดตรวจสารพันธุกรรมแบบรวดเร็ว-พกพา (RT-LAMP) คณะวิทยาศาสตร์, 
โครงการจัดตั้งศูนย์วิจัยวิศวกรรมชีวเวช (BMERC : Biomedical Engineering Research Center) คณะวิศวกรรมศาสตร์, โครงการวิจัยวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ, ศูนย์ระดับภูมิภาคเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Regional Center of Robotics Technology) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และโครงการจุฬาอารี วิทยาลัยประชากรศาสตร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ยังสอดคล้องกับภารกิจของสนจ. ในปีนี้ ที่ต้องการยืดอายุคนไทยให้ยืนยาวเกินร้อยปีอย่างมีคุณภาพ” 

ด้านนายก สนจ. อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย เผยว่า “การฉลอง 105 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาฯ ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่จะจัดกิจกรรมต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “จุฬาฯ สร้างสรรค์ยกกำลังสิบ” กับภารกิจยืดอายุ คนไทยให้ยืนยาวเกินร้อยปี ผ่าน 10 กิจกรรมที่นิสิตปัจจุบัน นิสิตเก่า องค์กร ประชาชนทั่วไป สามารถ มีส่วนร่วมได้ทั้งในแบบออฟไลน์และออนไลน์ตลอดทั้งปี 

โดยกิจกรรมได้เริ่มต้น ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมนี้ รวมเลือดสีชมพู CU Blood บริจาคโลหิตให้กับ หน่วยบริการโลหิตสภากาชาดไทย หรือโรงพยาบาลที่ใกล้ท่าน เพียงแจ้งรหัสบริจาค B0157 ร่วมบริจาคได้ จนถึง 30 เมษายน, การแข่งขัน RoV-Chula Alumni Charity Tournament 2022 สนับสนุนการจัดทำ กล่องรอดตาย, กิจกรรมจุฬาฯ ชวนทำดี DSR (Digital Social Responsibility) ชวนน้องพี่นิสิตจุฬาฯ มาร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่เพื่อสังคมบนโลกดิจิทัล, กิจกรรมวิ่ง ห. เตรียมฟิตร่างกายให้พร้อมเดิน วิ่ง ปั่น ซีมะโด่ง VIRTUAL WALK BIKE RUN 2022 รวมไปถึงกิจกรรม I’m Possible Run วิ่งหฤหรรษ์ บันดาลใจ ที่จะชวน ทุกคนมาเอาชนะทุกความท้าทายกับระยะทางวิ่งวัดใจ 105 กิโลเมตร ใน 105 วัน, คอนเสิร์ต Be Musical Charity Concert 

เพื่อระดมทุนผ่าตัดหัวใจให้น้องมูลนิธิเด็กโรคหัวใจ, งานปิยมหาราชานุสรณ์ 2565 และช่วงปลายปี เดินเที่ยวดื่มด่ำกับบรรยากาศเคล้าเสียงเพลงในรั้วจามจุรีครั้งแรกกับ Chula Music Walk เที่ยวเพลินเดินจุฬาฯ ปิดท้ายเอาใจนักช้อปกับ 2 กิจกรรมร้านออนไลน์จำหน่ายของที่ระลึกประจำงาน Chula 105 และของที่ระลึก ลิมิเตด เอดิชั่น ดีไซน์โดยแบรนด์ดัง ภายใต้ร้าน “Chula Alumni” บน SHOPEE และ LINE My Shop สามารถ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในแต่ละกิจกรรมทางเพจ Chulalongkorn University และ Chula Alumni”

ส่วน ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน อุปนายก สนจ. เสริมว่า “ในปีนี้ จุฬาฯ ขับเคลื่อนกิจกรรมมิติใหม่ๆ เพื่อสังคม พร้อมรับใช้ประชาชนด้วยหัวใจดิจิทัล ชวนทำดี “ดี เอส อาร์” (DSR :Digital Social Responsibility) และเป็นการเน้นย้ำค่านิยม (Core Value) ของจุฬาฯ ทั้ง 4S สมาร์ท (Smart) เด็กจุฬาฯ เก่ง มีประสิทธิภาพ พร้อม ช่วยเหลือและรับใช้สังคม, โซลูชั่น (Solution) แก้ปัญหาเป็น ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น, แชริ่ง (Sharing) มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นที่รัก และโซเชียล แวลู (Social Value) การรับใช้ประชาชน 
โดยจะเป็นการทำกิจกรรมผ่านการใช้แท็บเลต จำนวน 200 ชม. แบ่งเป็น 30 ชม. แรกกับกูรูคนดังที่จะมาเติมทักษะสำคัญต่างๆ เป็นพื้นฐานในการลงมือปฏิบัติจริง อาทิ ดีไซน์ ธิงกิ้ง (Design Thinking), ลีดเดอร์ชิพ (Leadership), โปรเจค เมนเนจเมนท์ (Project Management) เป็นต้น และอีก 170 ชม. จะได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง (Learning by Doing) กับพี่ๆ เมนเทอร์นิสิตเก่าคนเก่ง เพื่อสอนทักษะและประสบการณ์ให้น้องๆ เรียนรู้อย่างมีความสุข และสนุกกับ การทำกิจกรรมดิจิทัลผ่านแท็บเลต สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่


https://www.youtube.com/watch?v=29tVv5c3eYs

 นรุตม์ ยอดวานิช ตัวแทนนิสิตเก่ารุ่นพี่เมนเทอร์ที่จะเข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า “DSR ทำให้เราเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับควบคู่กันได้ น้องๆ จะได้เรียนรู้วิธีการทำงานและประสบการณ์จากรุ่นพี่ ส่วนรุ่นพี่จะได้เติมองค์ความรู้ใหม่ ได้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่ แม้เราจะมองโลกในมุมที่ต่างกัน แต่เราจะเติมเต็มกันและกัน ซึ่งทำให้ เกิดประโยชน์กับสังคมในส่วนรวม”

 ตัวแทนนิสิตปัจจุบัน จ๋า-ณปภัช วรพฤทธานนท์ BNK48 รุ่น 1 นิสิตและอาสาสมัครกล่องรอดตาย คณะ เภสัชศาสตร์ เผยว่า “จ๋ามีโอกาสได้เป็นอาสาสมัครกล่องรอดตายตั้งแต่ปีที่แล้ว ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ได้ช่วยผู้ป่วยที่ติดโควิดจริงๆ จ๋าได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้ป่วยโควิดฉุกเฉินหรือสีแดง ช่วงแรกๆ ก็ยังทำอะไรไม่ค่อยได้มาก จนได้รุ่นพี่นิสิตเก่าที่เข้าร่วมโครงการนี้คอยแนะนำและให้คำปรึกษา พี่จะสอนตั้งแต่การสอบถาม ติดตามอาการ การส่งกล่องรอดตาย การช่วยประสานงาน จนถึงหาเตียงให้กับผู้ป่วย ครั้งแรกที่จ๋าหาเตียงให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินได้สำเร็จ รู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันเป็นอย่างมาก ที่สำคัญ เราภูมิใจในตัวเองที่เราสามารถช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อน ได้จริง และเมื่อทราบว่า รุ่นพี่นิสิตเก่ากำลังจะมีโครงการ ชวนทำดี DSR สำหรับนิสิตปัจจุบันก็รู้สึกสนใจ และ จ๋าจะสมัครเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อย่างแน่นอน”


สนจ. ขอเชิญชวนน้องพี่นิสิตมาร่วมเป็นจิตอาสาและทำกิจกรรมเพื่อสังคมบนโลกออนไลน์ กับ 8 กิจกรรม ได้แก่ กล่องรอดตาย, สตาร์ทอัพ เรียนรู้วิธีการทำจากรุ่นพี่กูรู, มีเดีย คอนเทน ครีเอเตอร์ (Media Content Creator), จุฬาฯ มาสเตอร์คลาส (Chula Master Class), มิวสิค แชร์ริตี้ (Music Charity) เรียนรู้ เรื่องดนตรี, ซียู บลัด (CU Blood) การบริจาคเลือดกับจุฬาฯ, อีสปอร์ต (E-Sport) การบริหารจัดการกีฬาบนแพลตฟอร์มดิจิทัล และ ไอซีที ซัพพอร์ติ่ง เซอร์วิส (ICT Supporting Service) เรียนรู้วิธีการจัดการปัญหาพื้นฐานด้านไอทีด้วยตนเอง สำหรับน้องนิสิต เพียงสมัครผ่าน CU Nex รับแท็บแลตทันทีที่ผ่านการคัดเลือก และเป็นเจ้าของเมื่อทำกิจกรรมครบ 200 ชั่วโมง คัดเลือกเพียง 120 คนเท่านั้น พี่นิสิตเก่าร่วมสมัคร เป็นเมนเทอร์ได้ทาง www.จุฬาฯชวนทำดี.com เพราะทำดีได้ไม่มีวันหยุ


สำหรับกิจกรรม 105 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาฯ ที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปีนี้ ทั้งการสมัครร่วมกิจกรรมและบริจาคเงินสนับสนุนการพัฒนาผ่านสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ สามารถติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ทางเพจ Chulalongkorn University และ Chula Alumni

#จุฬา #สนจ. #สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ #105ปีจุฬาฯ #CU105 #CHULAALUMNI #จุฬาฯสร้างสรรค์ยกกำลังสิบ #จุฬาฯชวนทำดีDSR #CUDSR



Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก