กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม แถลงข่าววัน”โอโซนสากล ประจําปี 2567 “

 

วันที่ 16 กันยายน 2567 เนื่องในวันโอโซนสากล ประจําปี 2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดงานแถลงข่าว วันโอโซนสากล ประจําปี 2567 โดยมีนางอลิสรา รังษีภโนดร ผู้อํานวยการกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กล่าวรายงาน นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดี กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผู้แถลงข่าว และตอบข้อซักถาม ต่อสื่อมวลชน ณ.โรงแรมอมารี กรุงเทพฯ 

นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดี กรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (United Nations General Assembly - UNGA) ได้กําหนดให้วันที่ 16 กันยายน เป็น วัน โอโซนโลก อย่างเป็นทางการในปี 1994 โดยวันที่นี้ถูกเลือกเพื่อระลึกถึงการลงนามใน พิธีสารมอนทรีออลว่าด้วย สารที่ทําลายชั้นโอโซน ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน ปี ค.ศ. 1987 โดยองค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme - UNEP) เป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญในการจัดและส่งเสริมวันโอโซนโลกเพื่อสร้าง ความตระหนักและกระตุ้นการดําเนินการระดับโลกในการปกป้องชั้นโอโซนวันโอโซนโลก ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 16 กันยายน ของทุกปี เป็นเหตุการณ์ระดับโลกที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการลดลงของชั้นโอโซนและ กระตุ้นให้มีการดําเนินการเพื่อปกป้องชั้นโอโซน

 วันนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการลงนามใน “พิธีสารมอนทรีออล” ซึ่ง เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นการยุติการผลิตและการใช้สารที่ทําลายชั้นโอโซน ชั้นโอโซนเป็นส่วนสําคัญ ของบรรยากาศโลกซึ่งอยู่ในชั้นสตราโตสเฟียร์และมีบทบาทสําคัญในการปกป้องชีวิตบนโลกโดยการดดูซับรังสี อัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ หากปราศจากชั้นโอโซนนี้ รังสี UV ที่เพิ่มขึ้นจะเข้าสู่พื้นโลกมาก ขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดภาวะต้อกระจก และทําลายระบบนิเวศต่างๆ

พิธีสารมอนทรีออลถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมี 197 ประเทศที่ร่วมกันลดการใช้สารที่ทําลายชั้นโอโซน เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ตั้งแต่การบังคับ ใช้ พิธีสารมอนทรีออลทําให้ชั้นโอโซนเริ่มฟื้นตัว แต่ความร่วมมือระดับโลกยังคงเป็นสิ่งจําเป็นเพื่อให้ชั้นโอโซน กลับมาฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ในแต่ละปี วันโอโซนโลกจะมีหัวข้อเฉพาะเพื่อเน้นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่อง และ กระตุ้นให้มีการปฏิบัติที่ยั่งยืนในการปกป้องชั้นโอโซนและสิ่งแวดล้อม 

พิธีสารมอนทรีออลนี้มีส่วนสําคัญในการ ปกป้องมนุษยชาติในมิติต่างๆที่สําคัญ ดังเช่น

1. ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศของโลกซึ่งสิ่งมีชีวิตอาจถูกทําร้ายถ้าหากไม่ได้รับการ ปกป้องจากรังสียูวี

2. ความมั่นคงทางอาหารและรายได้ของเกษตรกร การสัมผัสรังสียูวีเกินไปจะทําลายระบบนิเวศ ส่งผล ต่อแมลงผสมเกสร ลดผลผลิตพืชและแหล่งปลาสัตว์น้ํา

3. การปกป้องชั้นโอโซนจะช่วยป้องกันความเสียหายต่อเกษตรกรรมประมงและวัสดุต่างๆมูลค่า ประมาณ 460 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 1987 ถึง 2060

4. สุขภาพของมนุษย์หลีกเลี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังมากถึง2ล้านรายต่อปีภายในปี2030และป้องกัน ผู้ป่วยต้อกระจกรายใหม่หลายล้านคนทั่วโลก

ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกในอนุสัญญาเวียนนาและพิธีสารมอนทรีออลเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2532 รวมทั้งให้สัตยาบันพิธีสารมอนทรีออลส่วนที่มีการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติม อีก 5 ครั้ง โดยครั้ง ล่าสุดเกิดขึ้นที่ กรุงคิกาลี (The Kigali Amendment to the Montreal Protocol (2016)) เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ที่ผ่าน มาโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการควบคุมการผลติ การนําเข้าการ ใช้สารเคมีที่ทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และเป็นศูนย์ประสานงานในการติดต่อกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่ง สหประชาชาติเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามพันธกรณีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล 

โดยพิธีสารมอนทรีออลฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี (Kigali Amendment) กําหนดขึ้นเพื่อควบคุม ยับยั้ง และรณรงค์ให้ลดการผลิตและการใช้สารทําลายชั้น โอโซนเพื่อรักษาชั้นบรรยากาศโอโซนที่ถูกทําลายจากการใช้สารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซนเหล่านี้ได้แก่สารคลอ โรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs) สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrochlorofluorocarbons: HCFCs) สารฮาลอน (Halons) และ สารเมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide: CH3Br) ซึ่งที่ผ่านมาสามารถลดก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่ ค.ศ.1989 – 2023 ลงไปได้ถึง 1,460 ล้านตัน CO2 เทียบเท่าโรงไฟฟ้าถ่านหิน 3,896 โรง หรือ การใช้รถยนต์ 387 ล้านคัน 

ซึ่งพิธีสารมอนทรีออลส่วนที่มีการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติม มีการปรับปรุงและแก้ไขเนื้อหาในประเด็น สําคัญ ดังนี้

1. การแก้ไขเนื้อหาพิธีสารมอนทรีออล (Amendment)

1.1เพิ่มสารควบคุมกลุ่มใหม่คือสารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน(HFCs)ในภาคผนวกF(AnnexF) โดย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

• กลุ่ม 1 จํานวน 17 ตัว ได้แก่ HFC-134, HFC-134a, HFC-143, HFC-245fa, HFC-365mfc, HFC-227ea, HFC-236cb, HFC-236ea, HFC-236fa, HFC-245ca, HFC-43-10mee, HFC-32, HFC-125, HFC-143a, HFC- 41, HFC-152, HFC-152a

• กลุ่ม 2 จํานวน 1 ตัว ได้แก่ HFC-23

1.2 เพิ่มข้อกําหนดในการควบคุมการผลิตและการใช้สารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) และสําหรับ ประเทศกําลังพัฒนา (Article 5 Parties) กลุ่ม 1 เช่น ประเทศไทย เป็นต้น กําหนดให้ปี พ.ศ. 2567 เป็นปี เริ่มต้นควบคุมปริมาณ (Freeze) การผลิตและการใช้สาร HFCs โดยไม่ให้เกินค่าพื้นฐาน (ซึ่งค่าพื้นฐานจะ เท่ากับผลรวมของค่าเฉลี่ยของปริมาณการใช้สาร HFCs ในปี พ.ศ. 2563 - 2565 กับร้อยละ 65 ของ ค่าเฉลี่ยของปริมาณการใช้สาร HCFCs ในปี พ.ศ. 2552 - 2553)

• ปี พ.ศ. 2572 ลดปริมาณการใช้สาร HFCs ลง 10% ของค่าพื้นฐาน


• ปี พ.ศ. 2578 ลดปริมาณการใช้สาร HFCs ลง 30% ของค่าพื้นฐาน

• ปี พ.ศ. 2583 ลดปริมาณการใช้สาร HFCs ลง 50% ของค่าพื้นฐาน

• ปี พ.ศ. 2588 ลดปริมาณการใช้สาร HFCs ลง 80% ของค่าพื้นฐาน

1.3 รายงานปริมาณการใช้ และการผลิตสาร HFCs ประจําปี ตามมาตรา 7 ของพิธีสารมอนทรีออล เพิ่มเติม ซึ่งจากเดิมที่มีการรายงานประจําปีเฉพาะการใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs) สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrochlorofluorocarbons: HCFCs) สารฮาลอน (Halons) และสาร เมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide: CH3Br) ในภาคผนวก A, B, C และ E (Annex A, B, C และ E) ของพิธีสารมอนทรี ออล

1.4 จัดทําระบบการนําเข้าและส่งออก (Licensing System) ของสาร HFCs ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน หลังจากพันธกรณีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล ฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี มีผลบังคับใช้ในประเทศ ซึ่ง กรอ. ใช้ระบบการอนุญาตภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535

2. การปรับปรุงข้อกําหนด (Adjustment)

เกี่ยวกับกําหนดระยะเวลาในการควบคุมการค้าขายสารควบคุมกับประเทศที่ไม่เป็นประเทศภาคี สมาชิก จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2576 ประโยชน์ที่จะได้รับ และผลกระทบต่อประเทศไทยใน การให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออล ฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี มีดังนี้


2.1) ประโยชน์ที่จะได้รับ

- ประเทศไทยสามารถซื้อขายสาร HFCs กับประเทศภาคีสมาชิกได้ โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการใช้สาร HFCs เช่น ภาคอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้ตามบ้านเรือน ภาคอุตสาหกรรมผลิต เครื่องปรับอากาศที่ใช้ในรถยนต์ ภาคอุตสาหกรรมผลิตโฟม ภาคอุตสาหกรรมผลิตตู้เย็น ตู้แช่ เชิงพาณิชย์ เป็นต้น

- เนื่องจากสาร HFCs เป็นสารควบคุมภายใต้พิธีสารมอนทรีออล และเป็นก๊าซเรือนกระจกซึ่งมีค่า ศักยภาพที่ทําให้โลกร้อนภายใต้ข้อตกลงปารีส ดังนั้น การลดการใช้สาร HFCs โดยการปรับเปลี่ยน กระบวนการผลิตไปใช้สารทดแทนที่มีค่าศักยภาพที่ทําให้โลกร้อนต่ํา จึงเป็นการสนับสนุนต่อการดําเนิน นโยบายของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065

- ประเทศไทยจะสามารถขอรับเงินช่วยเหลือ รวมถึงความช่วยเหลือทางด้านนโยบายและด้านเทคนิค จากกองทุนพหุภาคี ภายใต้พิธีสารมอนทรีออล เพื่อนํามาดําเนินการลดการใช้สาร HFCs ซึ่งจะทําให้

ภาคอุตสาหกรรมของไทยไม่เสียโอกาสในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตไปใช้สารทดแทนที่เป็น เทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และมีค่าศักยภาพที่ทําให้โลกร้อนต่ํา เป็นการยกระดับ ผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น

- อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้สาร HFCs เช่น เครื่องปรับอากาศในบ้านเรือน เครื่องปรับอากาศที่ใช้ในรถยนต์ ตู้เย็น ตู้แช่เชิงพาณิชย์ เป็นต้น ยังคงมีสารเพียงพอเพื่อการซ่อมบํารุงจนกว่าอุปกรณ์นั้น ๆ จะหมดอายุ การใช้งาน


2.2) ผลกระทบ

- ภาคอุตสาหกรรมที่ใช้สาร HFCs ของไทยจะถูกจํากัดปริมาณการใช้สาร HFCs อย่างไรก็ตามพันธกรณี ภายใต้พิธีสารมอนทรีออลได้ยืดระยะเวลาในการเริ่มการลดการใช้สาร HFCs ออกไป 5 ปี หลังจากพิธีสารฯ ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ซึ่งเพียงพอต่อการลดการใช้สาร HFCs

- ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้สาร HFCs จะต้องลงทุนในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต เพื่อไปใช้สารทดแทนใหม่ที่ไม่ทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และมีค่าศักยภาพที่ทําให้โลกร้อนต่ำ

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้ปฏิบัติตามพันธกิจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพิธีสารมอนทรอีอลฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลีโดยไดจ้ัดทํากิจกรรมต่างๆมากมาย เพื่อสร้างความตระหนักและกระตุ้นการดําเนินการปกป้องชั้นโอโซนโลก อาทิเช่น

- ส่งมอบบัตรกํานัลสําหรับแลกซื้อเครื่องมือ/อุปกรณ์เพื่อใช้ในการฝึกอบรมช่างติดตั้งและซ่อมบํารุง เครื่องปรับอากาศให้แก่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ ส่งมอบให้ศูนย์ฝึกอบรมในสังกัด สําหรับแลกซื้อเครื่องมือ/อุปกรณ์ แห่งละ 36 ฉบับ รวม 72 ฉบับ

- สนับสนุนงบประมาณการดําเนินโครงการฝึกอบรมให้แก่ช่างติดตั้งและซ่อมบํารุงเครื่องปรับอากาศ จํานวน 4,560 คน รวมทั้งสิ้น 30,408,000 บาท

- ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดฝึกอบรม จํานวน 110 ครั้ง ครั้งละ 20 คน จํานวนรวม 2,200 คน

- ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดฝึกอบรม จํานวน 118 ครั้ง ครั้งละ 20 คน จํานวนรวม 2,360 คน

- จัดกิจกรรม “Walk & Run for Ozone and Climate 2065 Net zero” กิจกรรมเดินวิ่ง จัดขึ้น 5 จังหวัด ได้แก่ ครั้งที่ 1 จ.ตรัง ครั้งที่ 2 จ.อุดรธานี ครั้งที่ 3 จ.เชียงใหม่ ครั้งที่ 4 จ.นครศรีธรรมราช และครั้งที่ 5 กทม.

โดยกิจกรรมที่ผ่านมาจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ( HCFCs) ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อการทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และเชิญชวนให้เกิดความสนใจในการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน รวมถึงการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการลดการใช้สารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ภายใต้พิธีสารมอนทรี ออลฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี(KigaliAmendment) ซึ่งในปีที่ผ่านมากิจกรรมงานเดินวิ่งได้กระแสตอบรับที่ดีมากในปีนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนงานที่จะจัดกิจกรรมลักษณะนี้ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้อยู่ใน ระหว่างการดําเนินงานจัดเตรียมแผนงาน และจะทําการประชาสัมพันธ์ให้ทราบในโอกาสต่อไป

Share:

ดีป้า แถลงผลสำเร็จโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย

วันที่ 15 กันยายน 2567, กรุงเทพมหานคร - กระทรวงดีอี โดย ดีป้า แถลงผลสำเร็จโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย เผยครู นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนที่สนใจจากทั่วประเทศ

ให้การตอบรับดีเยี่ยม โชว์ผลงานยกระดับห้องเรียนโค้ดดิ้ง 1,500 โรงเรียนทั่วประเทศ นักเรียน ครู ร่วมยกระดับทักษะโค้ดดิ้งเข้มข้นผ่านกิจกรรม Coding Bootcamp กว่า 3,200 คน ประชาชนเกิดความตระหนักรู้เกี่ยวกับ

โค้ดดิ้งผ่านกิจกรรม Coding Roadshow กว่า 1.16 แสนคน เกิดผลงานโค้ดดิ้งที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยครู นักเรียนจากทั่วประเทศผ่านโครงการ Coding for Better Life มากกว่า 900 ผลงาน

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า โครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย คือโครงการในแผนงาน

ระยะยาวที่มุ่งสร้างครูผู้สอนที่พร้อมถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านโค้ดดิ้งแก่นักเรียนรุ่นต่อรุ่น พร้อมดำเนินการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมรองรับการเรียนการสอน ซึ่งทั้งหมดจะช่วยสร้างเมล็ดพันธุ์ดิจิทัลที่มีความพร้อมต่อการสร้างรากฐานอนาคตของประเทศ และบรรเทาปัญหาการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัล สอดคล้องกับเป้าหมายในการเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ ตามนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี)

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีป้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้ง

แก่เยาวชนไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวางรากฐานทักษะดิจิทัลแห่งอนาคต และบรรเทาปัญหาการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัลของประเทศ สำหรับโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ที่ กระทรวงดีอี โดย ดีป้า บูรณาการการทำงานกับเครือข่ายพันธมิตรมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่พร้อมรองรับการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้งแก่นักเรียน ครู และบุคลากร

ทางการศึกษา ผ่านการยกระดับห้องเรียนโค้ดดิ้ง ภายใต้แนวคิด ‘ทักษะโค้ดดิ้งเพื่อต่อยอดสู่การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน’ โดยการสนับสนุนหลักสูตรพิเศษจากเครือข่ายพันธมิตรกว่า 20 หลักสูตร และอุปกรณ์ดิจิทัลประกอบการเรียนการสอน ซึ่งดำเนินการใน 1,500 โรงเรียนทั่วประเทศ

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังมีการดำเนินกิจกรรม Coding Bootcamp & Coding Roadshow และ Coding War ใน 8 ภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น กรุงเทพมหานคร อุบลราชธานี พิษณุโลก เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และสงขลา โดยมีครูและนักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการรวมกว่า 3,200 คนร่วมกิจกรรม Coding Bootcamp เพื่อเรียนรู้ทักษะโค้ดดิ้งเข้มข้น ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของประเทศ และสร้างสรรค์ผลงานด้านโค้ดดิ้ง พร้อมกันนี้ยังมีพ่อแม่ ผู้ปกครอง และประชาชนที่สนใจ

ร่วมกิจกรรม Coding Roadshow ที่จัดควบคู่กับ Coding Bootcamp ทั้งในรูปแบบ On-site และ Online 

รวมกว่า 1.16 แสนคน ขณะที่กิจกรรม Coding War มีครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษาร่วมกิจกรรมกว่า 5,000 คน หรือ 1,250 ทีมจากทั่วประเทศ จากนั้นคัดเหลือ 100 ทีมเข้าสู่กิจกรรมพัฒนาศักยภาพด้านโค้ดดิ้ง

เข้มข้น ก่อนร่วมแข่งขันในรายการ Coding War รอบชิงชนะเลิศ โดยมีเพียง 10 สุดยอดทีมในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาได้รับทุนการศึกษาและอุปกรณ์ดิจิทัล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาทเป็นรางวัล และเกิดผลงานโค้ดดิ้ง

ที่ได้รับการสร้างสรรค์โดยครู นักเรียนจากทั่วประเทศผ่านโครงการ Coding for Better Life กว่า 900 ผลงาน


ทั้งนี้ โครงการ Coding for Better Life ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์

แบรนด์ซุปไก่สกัด โดย บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมสนับสนุนโครงการต่อเนื่อง ตั้งแต่การมอบ Micro:bit ให้โรงเรียนภายใต้กิจกรรมอัปเกรดห้องเรียนโค้ดดิ้ง มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และสนับสนุนกิจกรรม AI Roadshow สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับ AI ในสาขาอาชีพต่าง ๆ ให้กับเยาวชน ครู ผู้ปกครอง และบุคคลทั่วไปใน 8 จังหวัด อีกทั้งสนับสนุนเงินรางวัลและผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดฟรีตลอด 1 ปี สำหรับทีมผู้ชนะในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา พร้อมรางวัลพิเศษ จำนวน 2 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 600,000 บาทในกิจกรรม Coding War บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนหลักสูตร HUAWEI CLOUD DEVELOPER บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สนับสนุนคูปองการเรียนรู้ผ่าน TRUE DIGITAL ACADEMY เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนงบประมาณให้กับโรงเรียนในโครงการ และ เทโร เพอร์ฟอร์แมนซ์ คอร์ส ที่มีเป้าประสงค์เดียวกันคือ การปลูกฝังความรู้ด้านโค้ดดิ้งแก่ประชาชนตั้งแต่ระดับเยาวชน ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้เด็กไทยเติบโตไปเป็นกําลังคนดิจิทัลที่มีคุณภาพเป็นกําลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ


“กระทรวงดีอี และ ดีป้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ Coding for Better Life จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเยาวชนไทยสู่การเป็นกำลังคนและบุคลากรดิจิทัลของประเทศ และขอขอบคุณคุณครูที่ช่วยฟูมฟักน้อง ๆ เยาวชน ซึ่งถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่จะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนไทยก้าวต่อไปท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงด้วยดิจิทัล” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

สำหรับรางวัลการแข่งขัน Coding War รอบชิงชนะเลิศ แบ่งเป็น 2 ระดับ ประกอบด้วย ระดับประถมศึกษา และ ระดับมัธยมศึกษา  โดยผลการแข่งขัน มีรายละเอียด ดังนี้

ระดับประถมศึกษา

-  รางวัลชนะเลิศ   ได้แก่ ทีม KP Robot โรงเรียนขจรเกียรติพัฒนา จ.ภูเก็ต

     - รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1  ได้แก่  ทีม โรงเรียนเทศบาลคุ้มหนองคู โรงเรียนเทศบาลคุ้มหนองคู 

จ.ขอนแก่น

- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2  ได้แก่ ทีม KT KRUB โรงเรียนขจรเกียรติถลาง จ.ภูเก็ต

  -  รางวัลชมเชย ได้แก่ ทีม Watmai Robotic โรงเรียนวัดใหม่เนินพยอม จ.ชลบุรี และ ทีม KT GEN IT 

   โรงเรียนกวางตง จ.สุโขทัย

- Popular Vote ได้แก่  ทีม KT GEN IT โรงเรียนกวางตง  จ.สุโขทัย

- BEST IDEA ได้แก่ ทีม Jomkiri Novices (จอมคีรีโนวิคซ์) โรงเรียนเทศบาลวัดจอมคีรีนาคพรต  

จ.นครสวรรค์


ระดับมัธยมศึกษา

รางวัลชนะเลิศ ได้แก่  ทีม โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร

รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Sense Vision โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่

และ ทีม COOK3R โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จ.นครพนม

รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม หลานม่าบ๊อกซ์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร  , ทีม หม่ำ เท่ง โหน่ง โรงเรียนศรียานุสรณ์ จ.จันทบุรี    , ทีม E-Care โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา  และ ทีม Catch Me by the ACR โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง จ.ระยอง

รางวัลชมเชย ได้แก่  ทีม TNNJ โรงเรียนสตรีภูเก็ต จ.ภูเก็ต  และ ทีม ปลากระดี่แม่น้ำฮวงโห  โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก

POPPULAR VOTE  ได้แก่ ทีม E-Care โรงเรียนมารีย์วิทยา  จ.นครราชสีมา

BEST IDEA  ได้แก่ ทีม Innotech โรงเรียนวัดป่าประดู่ จ.ระยอง


ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.depa.or.th, CodingforBetterLife.com และเฟซบุ๊กเพจ depa Thailand และCodingThailand by depa

Share:

เปิดประสบการณ์การผ่อนคลาย แบบ Luxury ที่ The Oasis Spa โปรแกรม KING OF OASIS :: Bangkok Sukhumvit 31

สวัสดีค่ะ วันนี้ Insight พาเพื่อนๆไปชิลล์ แบบผ่อนคลาย เพื่อสุขภาพกันที่ โอเอซิส สปา ครั้งที่ 2 ที่ได้มาใช้บริการ สาขาสุขุมวิท 31 เป็นอีกหนึ่งสถานที่ได้รับความนิยมสำหรับคนที่ต้องการผ่อนคลาย และหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง 

ด้วยบริการที่โอเอซิส สปามีความหลากหลาย ทั้งนวดแผนไทย นวดอโรม่า นวดน้ำมัน รวมถึงทรีทเม้นต์สำหรับผิวหน้าและร่างกาย นักบำบัดมีความเชี่ยวชาญและให้ความใส่ใจในรายละเอียด ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกสบายและผ่อนคลาย

บรรยากาศที่หรูหรา การให้บริการในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราสะอาด ครบครัน และใช้วัสดุธรรมชาติ ทำให้คุณรู้สึกถึงการผ่อนคลายอย่างแท้จริงในบรรยากาศที่สงบเงียบ

สิ่งที่โดดเด่นก็คือการบริการที่เป็นมืออาชีพและเป็นมิตร  ผู้ที่เคยไปใช้บริการส่วนใหญ่มักจะกลับไปอีกครั้ง เพราะความผ่อนคลายที่ได้รับและการบริการที่ดีเยี่ยม

โปรแกรมวันนี้ เป็นนวดอโรมาเธอราพี ใช้ Hot Oil ที่มีส่วนผสมของไพร  ระยะเวลาที่นวดของ โปรแกรม King of Oasis ใช้เวลาเต็มอิ่ม ถึง 2ชั่วโมง ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับการผ่อนคลายได้มากยิ่งขึ้น

หากคุณกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนที่มีคุณภาพ โอเอซิส สปา เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในย่านสุขุมวิท 31 ค่ะ

สนใจ สอบถามโทร ::  0226 22122

LINE :: @oasisspa 
หรือจองผ่านเวปไซต์ www.oasisspa.net 
เวลาทำการ เปิดบริการนวด 10.00-22.00 น.
Share:

ผ่อนคลายแบบเหนือระดับ โปรโมชันสุดพิเศษที่ Oasis Spa Thonglor BKK— นวดน้ำมันอโรมาเธอราพีร้อนเพียง 1,222 บาท!


หลีกหนีจากความวุ่นวาย แล้วมาพักผ่อนอย่างเต็มที่ที่ Oasis Spa Thonglor! ตอนนี้คุณสามารถสัมผัสประสบการณ์นวดน้ำมันอโรมาเธอราพีร้อนได้ในราคาเพียง 1,222 บาท (จากราคาปกติ 1,589 บาท) ข้อเสนอพิเศษนี้ถูกออกแบบมาเพื่อคนที่ต้องการความผ่อนคลายแบบรวดเร็วและล้ำลึก

✨ อย่าพลาดโอกาสพิเศษนี้! จองเลยตอนนี้ แล้วให้กลิ่นหอมของอโรมาช่วยปลดปล่อยร่างกายและจิตใจของคุณ ที่ Oasis Spa Thonglor กรุงเทพฯ คุณจะได้พบกับช่วงเวลาแห่งความสงบสุขที่เป็นของคุณคนเดียว! ✨

ข้อตกลงและเงื่อนไข:

• โปรโมชั่นนี้สามารถใช้ได้ที่ Urban Oasis Spa Bangkok

• โปรโมชั่นนี้มีให้เมื่อคุณจองทางออนไลน์หรือผ่านศูนย์การจองของเรา

• โปรโมชั่นนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่นได้

*************

• ข้อเสนอใช้ได้ถึง

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2024

Address:59 ซอยแจ่มจันทร์ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

Open: เปิดให้บริการทุกวัน: 10:00 - 22:00

Tel: 02-2622122

Website: www.oasisspa.net

LINE: @oasisspa

Facebook: facebook.com/Oasisspapage

Map: http://de1.us/41DzyLO


Share:

สายมูต้องไม่พลาด กับ เทศกาล “Ganesh Chaturthi Festival @ Fortune Town” ในวันที่ 9 – 15 กันยายน 2567

คเณศจตุรถี   เป็นเทศกาลประจำปีของการเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ ขององค์พระพิฆเนศ    โดยปีนี้ ฟอร์จูนทาวน์ ได้จับมือกับ   หมอจุ๊บ  ไพ่เทพ ผ่าดวง  และ คุณชัยวัฒน์ คฤหาสน์สุวรรณ  The Art One Gallery    จัดกิจกรรม  Ganesh Chaturthi Festival @ Fortune Town  ขึ้นในวันที่  9-15   กันยายน  2567 โดยมีคุณชัยวัฒน์ เอมวงศ์ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน  บริเวณลานฟอร์จูนสตรีท (หน้าอาคาร) ฟอร์จูนทาวน์  

คุณจักรพันธ์  ปิยะพฤกษพรรณ   ผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซี.พี.ทาวเวอร์ โกรท ในฐานะผู้
บริหาร ฟอร์จูนทาวน์  กล่าวว่า  “ทางฟอร์จูนทาวน์ รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความร่วมมือจากพาร์ทเนอร์ที่ดี อย่าง หมอจุ๊บ  ไพ่เทพ ผ่าดวง  และ คุณชัยวัฒน์ คฤหาสน์สุวรรณ  The Art One Gallery    ในการจัดงานเทศกาลคเณศจตุรถี  ต่อเนื่อง มาโดยปีนี้ เป็นปีที่ 3   แล้ว  และได้รับความสนใจจากผู้ที่ศรัทธา เป็นจำนวนมาก   และถือเป็นโอกาสดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดวัฒนธรรมการสวดบูชาองค์พระพิฆเนศแบบอินเดียโบราณ  ให้ฟอร์จูนทาวน์เป็นพื้นที่ของการเสริมความเป็นสิริมงคล และพลังบวก”  

ด้าน หมอจุ๊บ ไพ่เทพ ผ่าดวง กล่าวเสริมว่า “การจัดงานประกอบพิธีคเณศจตุรถีแบบอินเดียโบราณ เป็นการรับเสด็จองค์พระพิฆเณศที่ลงมาโปรดเหล่าสาวกผู้ศรัทธาได้ตั้งจิตเข้าถึงพระองค์อย่างแท้จริง รูปแบบการจัดงานปีนี้จัดบูชาแบบครบทุกขั้นตอนแบบฮินดูโบราณแบบประเทศอินเดีย อยากให้ผู้ที่มาร่วมได้ขอพรสัมฤทธิ์ผล ในปีนั้ถือว่าเป็นการจัดแบบต่อเนื่องมาเป็นปีที่สามและยิ่งได้รับการตอบรับดีมากๆ รู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการเผยแผ่บารมีขององค์พระพิฆเณศ เทพมหาปัญญาและความสำเร็จอย่างแท้จริง

“คุณแอร์ - วีรินทร์ บุญร่วม”  เจ้าของธุรกิจนำเข้าผลไม้สดจากต่างประเทศ บริษัท นวธัญ เวิล์ด ฟรุ๊ต ( nvt) บริษัทนำเข้าธุรกิจผลไม้จากต่างประเทศ ในฐานะผู้ร่วมจัดสร้างองค์พระแม่ลักษมี และเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ กล่าวถึงความรู้สึกในครั้งนี้ว่า  “สำหรับปีนี้ถือเป็นปีแรกที่แอร์เข้าใจในงานคเณศวรจตุรถี เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ปีที่แล้วที่มาร่วมงานก็มาแบบงงๆ  พอได้ทราบว่าทำไมต้องมีวันนี้ ทำไมต้องฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าตื่นเต้น รู้สึกอินกับงานไปด้วยค่ะ คนที่มาขอพรจะยิ่งประสบความสำเร็จในพรที่ขอ ท่านให้ทุกอย่างกับคนที่ร่วมฉลองให้ท่านภายใน 10 วันนี้ วันนี้แอร์ได้มีส่วนร่วมในการถวายผลไม้ถวายท่าน และในฐานะที่เราเป็นเจ้าของนวธัญ เวิล์ด ฟรุ๊ต นำเข้าผลไม้ ก็เป็นการดีที่เราได้ร่วมเอาผลไม้อย่างดีมาถวาย และมาแจกให้ผู้คนได้ทานกันเป็นเหมือนการได้ทำบุญทำทาน ซึ่งแอร์ถือว่าเป็นสิริมงคล ของบริษัทที่ได้มาถวายในวันดีๆ แบบนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราได้ทำให้บริษัทเจริญรุ่งเรือง ขายดิบขายดีตลอดปีและตลอดไปด้วยค่ะ”

ภายในงานวันแรกยังมีการเสริมความสิริมงคล และความปัง โดยได้ “อาจารย์ป๋า ปุญญาดิศ เถียรวิชิต” พราหมณ์เจ้าพิธีตัวจริงชื่อดังที่มีเหล่าดาราและผู้มีชื่อเสียงให้ความเคารพมากมาย ร่วมครอบเศียรผู้ที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้อีกด้วย นอกจากนี้ยัง มีศิลปินดารา ศิลปิน และเซเลบริตี้เข้าร่วมงาน มากมายอาทิเช่น คุณณภัสวรรณ จิลลานนท์, คุณธนวรรณ จิรแสงทอง, คุณปัทมวดี เสนาณรงค์, คุณภูภวิศ กฤตพลนารา ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ISSUE , ไข่มุก วงพริกไทย เเละค่าย Mellow ME ,มิลค์เช็ค จากค่าย แกรมมี่โกลด์, ศุภวิชญ์ วงศ์ฟู  ฯลฯ


สำหรับกิจกรรม  Ganesh Chaturthi Festival @ Fortune Town   จัดขึ้นในวันที่  9- 15  กันยายน  2567   พบกับ ความวิจิตรบรรจง พร้อมสักการะเสริมความเป็นสิริมงคล กับ  “วิมานจำลององค์พระพิฆเนศ”    ที่แรก กับ “กาชาปอง ตัวหมากรุก องค์พระพิฆเนศ”  ที่เหล่านักสะสมห้ามพลาด  พิเศษ กับ ปั้นเทวรูปพระพิฆเนศ ด้วยดินเหนียว เสริมพลังแห่งความสำเร็จ   

พิเศษ  กับ พิธีคเณศจตุรถี  ขึ้น ในวันที่  10 ก.ย. 67 ตั้งแต่เวลา  17.00 น.  เป็นต้นไป    โดยผู้ที่เข้าร่วมพิธีดังกล่าว  รับเหรียญพระพิฆเนศ ฟรี*  เมื่อแสดงหลักฐาน  การเป็นสมาชิก Fortune Point หรือสมัครสมาชิก Fortune Point จำกัด 1 คน / 1 สิทธิ์ เท่านั้น (จำนวนจำกัด 100 เหรียญ)       นอกจากนี้ ยังมีแสดงโชว์ต่าง ๆ รวมถึง ตลาดนัดสินค้า ให้เหล่าสายมู ได้เลือกช้อปสินค้าได้ตลอดงาน  

สายมูต้องไม่พลาด กับ เทศกาล “Ganesh Chaturthi Festival @ Fortune Town”   ในวันที่ 9 – 15   กันยายน  2567     บริเวณ ลานฟอร์จูนสตรีท  ฟอร์จูนทาวน์  รัชดา-พระราม 9  เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT)  สถานีพระราม 9   ทางออก  1


Share:

ร่วมใจร่วมแรง สร้างความรุ่งเรือง! งานความร่วมมือฉันมิตรไทย-จีน และพิธีรับมอบตำแหน่งคณะกรรมการสมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง สมัยที่ 6 เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์!

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 งานความร่วมมือฉันมิตรไทย-จีน และพิธีรับมอบตำแหน่งคณะกรรมการสมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง สมัยที่ 6 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ ห้องประชุมใหญ่ของหอการค้าไทย-จีน ผู้ร่วมงานประกอบด้วยบุคคลสำคัญทั้งจากฝั่งไทยและจีน ประธานหอการค้าไทย-จีน นายสื่อ ต้าถัว (Mr.Shi Datuo) ประธานสมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากทั้งสองประเทศ การกล่าวสุนทรพจน์ของผู้เข้าร่วมงานต่างชื่นชมสมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือไทย-จีน และแสดงความยินดีต่อคณะกรรมการชุดใหม่ที่ได้รับตำแหน่ง

จุดสำคัญของงานในครั้งนี้คือการบริจาคเพื่อการกุศลโดยสมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง และสมาชิกได้ร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กับโรงพยาบาลศิริราชและโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ มูลค่ารวมเกือบ 2 ล้านบาท โรงพยาบาลศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบการรักษาพยาบาลของประเทศไทย และโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ เป็นโรงเรียนที่มอบการศึกษาให้แก่นักเรียนที่มีปัญหาทางการได้ยิน

สำหรับรายละเอียดบริจาค สมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง ได้บริจาคเงินและสิ่งของให้กับโรงพยาบาลศิริราช มูลค่ารวม 1,426,000 บาท โดยประกอบไปด้วยบริษัท E-Gets Technology (Thailand) Co., Ltd. บริษัท Thailand Yachong Technology Development Co., Ltd. บริษัท Qingjian International (Thailand) Co., Ltd. เป็นต้น บริจาคเงินจำนวนตั้งแต่ 50,000 - 100,000 บาท และบริษัท Hisense Electric Co., Ltd. บริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์มูลค่า 826,000 บาท นอกจากนี้สมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง ยังได้บริจาคเงินและสิ่งของให้กับโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ มูลค่ารวม 582,990 บาท โดยผู้บริจาคประกอบไปด้วยบริษัทชั้นนำ อาทิ บริษัท DTL LAW Office Co., Ltd. และบริษัท Yili Group เป็นต้น โดย Yili Group ยังได้บริจาคผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่า 200,000 บาท

นายสื่อ ต้าถัว (Mr.Shi Datuo) กล่าวในสุนทรพจน์ว่า “อยู่ประเทศไทยเพื่อประเทศไทย อยู่ประเทศไทยรักประเทศไทย” เป็นแนวทางที่สมาคมฯ ยึดถือมาโดยตลอด นับตั้งแต่ก่อตั้งเป็นต้นมา สมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในด้านการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน แต่ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมการกุศลเพื่อสนับสนุนการพัฒนาของสังคมไทย กิจกรรมการบริจาคในครั้งนี้ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนและไทย และยังสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบในการตอบแทนต่อสังคมของสมาคมการค้าการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจไทย-ซานตง และผู้ประกอบการจีนในประเทศไทย

Share:

TYAD ครั้งที่ 8 งานโยคะใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กลางเมืองพัทยา งานรวมคนรักสุขภาพ รักการออกกำลังกาย 25-27 ตุลาคม 2567, โรงแรมเดอะซายด์ พัทยานาเกลือ

TYAD ครั้งที่ 8 งานโยคะใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กลางเมืองพัทยา  งานรวมคนรักสุขภาพ รักการออกกำลังกาย

25-27 ตุลาคม 2567,

โรงแรมเดอะซายด์ พัทยานาเกลือ

Thailand Yoga Art & Dance (TYAD) ก่อตั้งโดย นางสาวชญาดา มาตรเจริญ ในนามบริษัท เมคเฟรนส์ ฟอร์ยู จำกัด เป็นการจัดงานครั้งที่ 8 ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมืองพัทยา สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและได้รับการสนับสนุนการจัดงานจาก AIA Vatality True Corporations ,บัตรเครดิต KTC ,Central Pattaya เสื่อยี่ห้อขณะ ผลิตภัณฑ์เสื้อผ้ากีฬาจากVANESSE ปีนี้งานจัดขึ้นที่โรงแรมเดอะซายด์ พัทยานาเกลือ ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 25-27 ตุลาคม 2567 รวมคนรักสุขภาพจากผู้คนทั่วทุกมุมโลก พร้อมได้ท่องเที่ยว สนุกสนาน กับกิจกรรมต่างๆ ในงานมีครูผู้สอนชื่อดังในแต่ละประเทศจำนวน 12 ประเทศ จำนวน 66 คน และทุกคนสามารถเข้าร่วมคลาสจำนวน 117 คลาส กับห้องเรียน 11 ห้อง ที่พร้อมรองรับสำหรับทุกท่าน มีทั้งคลาส โยคะ เต้น พีราทิส นวดไทย ทำกับข้าว sup yoga yoga fly คลาสดีท๊อค ice Baht (Shock Cell) และ คลาส Stand up Paddle Board ในทะเลซึ่งเป็นคลาส high light ในปีนี้ ขอให้ทุกคนสนุกสนานกับกิจกรรมในงาน TYAD 2024 

สนใจติดต่อซื้อบัตรเข้างานได้ที่ www.makefriendsforu.com line/What App /Telephone : 66 0906573020 

Line Official : makefriends.foru

Share:

เปิดตัวงานใหม่ Health and Innovation Asia 2024 บุกตลาดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพครบวงจร

วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค ผู้จัดงานแสดงสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องมือห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ มากกว่า 13 ปี พร้อมเปิดตัวงานใหม่ล่าสุดที่สำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ภายใต้ชื่องาน Health & Innovation Asia 2024 (เฮลท์ แอนด์ อินโนเวชั่น เอเชีย) จัดร่วมกันกับงาน Thailand LAB INTERNATIONAL 2024 ตั้งแต่วันที่ 11-13 กันยายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค กรุงเทพฯ ถือเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำเพื่อการเจรจาธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเจาะลึกอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพผสมผสานกับโซลูชั่นและเทคโนโลยี ICT เพื่อส่งเสริมการปฏิวัติ Digital Health Tech ของประเทศไทย Health & Innovation Asia 2024 จัดพร้อมกับ Food For Health Pavilion พร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม ที่บรรจบกันของสุขภาพและเทคโนโลยีซึ่งจะปฏิวัติอนาคตการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม 


ส่งเสริมศักยภาพการดูแลสุขภาพผ่านเทคโนโลยี

งาน Health and Innovation Asia 2024 มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพยุคใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อรองรับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่หลากหลายที่ต้องการสำรวจศักยภาพของเทคโนโลยีในการกำหนดอนาคตของการดูแลสุขภาพ โดยงานนี้ได้รับความร่วมมือจากงาน Zorg & ICT ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นงานเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ และเป็นส่วนหนึ่งของ Dutch Health Week จัดโดย Royal Jaarbeurs ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นระดับนานาชาติของ วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค 

งาน Health and Innovation Asia จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญในวงการหลายพันคนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมของการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างแรงบันดาลใจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและโซลูชั่นซึ่งมีส่วนสนับสนุนในการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนและรองรับอนาคตทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ภายในงานสามารถพบกับผู้ประกอบการจากหลายแบรนด์ อาทิเช่น AMATA Corporation, MIC Lab, Interpharma, Hubino LLC, Ozone Network Integration, Connell Caldic Thailand และ ISA Healthcare Solutions ทั้งนี้ยังมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจจัดขึ้นภายในงานตลอด 3 วัน โดยได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเช่น  ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องของแพทย์ (ศ.น.พ.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นต้น

การปฏิวัติดิจิทัลและความพร้อมของประเทศไทย

คุณปนัดดา ก๋งม้า รองประธานสายงานธุรกิจ วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยกำลังเร่งตัวขึ้นผ่านโมเดลเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล โดยให้ความสำคัญกับความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม ค่านิยมของมนุษย์ และการปกป้องสิ่งแวดล้อม การลงทุนด้านเทคโนโลยีครั้งใหญ่ได้นำไปสู่ความก้าวหน้าที่สำคัญในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนและบรอดแบนด์ ซึ่งข้อมูลดิจิทัลสามารถเปลี่ยนคุณภาพและความยั่งยืนของสุขภาพและการดูแลสุขภาพได้ หากใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพจะสามารถช่วยชีวิต ปรับปรุงสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี รวมไปถึงสนับสนุนระบบสุขภาพที่ยั่งยืนซึ่งให้บริการด้านสุขภาพที่ปลอดภัย คุณภาพสูง และมีประสิทธิภาพแก่ประชากรทั้งหมดในประเทศไทยและเอเชีย เราเห็นศักยภาพและโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการนำงานนี้มาสู่กรุงเทพฯ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงรู้สึกปลื้มปิติที่จะประกาศการจัดงาน Health and Innovation Asia และ Food For Health ขึ้นในประเทศไทยปีหน้านี้"

เติมเต็มนวัตกรรมความรู้ด้านอาหารเพื่อสุขภาพ

“อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสุขภาพในปัจจุบัน ส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน และตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคสำหรับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ตลาดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้คาดว่าจะเติบโตจาก 988.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็น 1,405.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 4.50% ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตนี้ในเอเชียได้แก่ การตระหนักรู้ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น รายได้ที่เพิ่มขึ้น และการแพร่ระบาดของโรคเรื้อรังที่สูงขึ้น ภายในพาวิลเลียน Food For Health ท่านจะได้พบกับแบรนด์ชั้นนำ เช่น Agapefarm, Fuji Kasei, HUMA Healthy, TofuSan และ TASTEBUD LAB เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าล่าสุดในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและอาหาร สมาคมที่เกี่ยวข้องนำเสนองานสัมมนาที่หลากหลาย ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหาร ผู้รักสุขภาพ ผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ต นักโภชนาการและนักกำหนดนโยบาย ภายในงานนี้” นางสาวชนันรัตน์ คงเกิด ผู้จัดการโครงการ กล่าว

สุขภาพและนวัตกรรมแห่งเอเชีย ผนวกรวมกับงาน Thailand LAB INTERNATIONAL

คุณอนุชา พันธุ์พิเชฐ ผู้จัดการโครงการอาวุโส Health and Innovation Asia 2024 ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "งาน Health and Innovation Asia ร่วมกับ Thailand LAB INTERNATIONAL แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมนวัตกรรมและขับเคลื่อนความก้าวหน้าในแวดวงการดูแลสุขภาพ ด้วยการรวมกันของเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ล้ำสมัยเข้ากับโซลูชั่นห้องปฏิบัติการขั้นสูง เรากำลังสร้างแพลตฟอร์มแบบไดนามิกที่ก้าวข้ามขอบเขตและมอบคุณค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ให้กับผู้เข้าร่วมงานของเรา การทำงานร่วมกันนี้จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสามารถสำรวจนวัตกรรมแบบองค์รวม ตั้งแต่ความก้าวหน้าในการวินิจฉัยไปจนถึงโซลูชันไอทีที่ล้ำสมัย ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้งานเดียวกัน"

ปลดล็อกโอกาสในการเข้าร่วม

งาน Health and Innovation Asia 2024 และ Food For Health Pavilion ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจและบุคคลที่รักสุขภาพเข้าร่วมงานระหว่างวันที่ 11-13 กันยายน 2567 ณ ฮอลล์ 102-104 ไบเทค กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 10:00-17:00 น. ลงทะเบียนรับบัตรเข้างานฟรี พร้อมลุ้นรับรางวัลพิเศษมากมายได้ที่ https://eventpassinsight.co/el/to/THLAB0093 หรือเว็บไซต์หลัก https://health-innovation-asia.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง 02-1116611 (วีเอ็นยูฯ) หรืออีเมล communications@vnuasiapacific.com 

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในก้าวสำคัญสู่การกำหนดอนาคตของการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีที่นี่!

Share:

ครูโทนี่.นักเต้นซุปตาร์แห่งยุค 90 ผู้บริหาร CEO ค่ายเพลง TJ black musicและผู้บริหาร co TJ Dance studioผู้จัดงานคอนเสิร์ต TJ king of dance ปีที่ 5


โดยมีศิลปินระดับซุปตาร์แห่งยุค 90 มาร่วมงานคอนเสิร์ตมากมาย

อาทิ

เจเจตริน

อมิตา ทาทายัง

ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง

มอส ปฏิภาณ

ซึ่งภายในงานได้เปิดตัวศิลปินของค่าย TJ magnetics มากมาย

ร่วม 50 show 50 ศิลปิน

ภายในงานคอนเสิร์ตจัดยิ่งใหญ่เหมือนทุกปีโดยมีศิลปินค่ายของ co โทนี่ได้มาร่วมขึ้นโชว์คอนเสิร์ตในครั้งนี้ด้วยงานจัดในวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2024 ที่ดูไบรัชดาซอย 13

จุดประสงค์การจัดงานเพื่อให้เด็กเทรนศิลปินที่ได้มาเทรนฝึกกับครูโทนี่ได้พัฒนาการขึ้นเวทีคอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินระดับซุปตาร์จริงๆสถานที่ของครูโทนี่ได้ฝึกฝนให้เด็กๆได้กล้าแสดงออกมีความมั่นใจและเด็กที่เข้ามาเรียนเทรดเป็นศิลปินจะได้ประสบการณ์โดยตรงขึ้นเวทีคอนเสิร์ตกับศิลปินจริงๆ

โดยโดยการสอบวัดผลร้องเต้นจริงๆบนเวทีเพื่อเพิ่มความมั่นใจและประสบการณ์สกิลให้กับเด็กๆศิลปินเทรนของค่าย TJ black music

คอนเสิร์ตปีนี้ได้รับการตรวจรับจาก FC ศิลปินมากมายและผู้ปกครองมากมายที่ได้เข้ามาชมการแสดงของลูกตัวเองและได้ชมศิลปินที่ชื่นชอบในยุค 90

ซึ่งทางทีเจ black music และ TJ dasio เป็นสถานที่แห่งแรกในประเทศไทยที่ฝึกร้องฝึกเต้นฝึกเทรนศิลปินให้เด็กได้มีพอร์ตงานมีผลงานเพลงเป็นของตัวเองมี MV เป็นของตัวเอง

ที่เป็นที่แรกที่พัฒนาให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะการเป็นศิลปินตามหลักสูตรของศิลปินยุค 90

ทานทีเจได้มีความสนใจได้ผลศิลปินเด็กๆร่วม 70 คนขึ้นไปร้องขึ้นไปเต้นบนเวทีคอนเสิร์ต

และได้ร่วมแจมขึ้นไปเต้นกับศิลปินจริงๆ

ทีเจได้เปิดประสบการณ์จัดคอนเสิร์ตให้กับผู้ปกครองที่รักศิลปินได้ดูชมคอนเสิร์ตและได้เห็นลูกตัวเองโชว์ขึ้นไปร้องไปเต้น

แนะนำวง seven days girl เป็นศิลปินเด็กกรุ๊ปแรกของเมืองไทยและของทางค่าย TJ black music

ภูมิใจเสนอเด็กที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทยได้มี single เพลงใหม่

เพลง Shake

และศิลปินวงอีกมากมายที่กำลังจะมีผลงานเพลงออกมาให้ทุกคนได้ติดตามทุกช่องทางทุก social

สำหรับฝากผู้ติดตามสำหรับใครมีรูปมีหลานสามารถที่จะเข้าไปติดตามทางช่องทั้ง 2 ช่องของทางค่ายทีเจ blacklist ได้ที่ YouTube

จุดหลักผสมคือให้เด็กได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้การเป็นศิลปินเพราะเรามีหลักสูตรการเรียนการสอนศิลปินนักเต้นแห่งยุค 90 มาเป็นสูตรลับเฉพาะจริงๆ

เด็กที่เข้ามาเรียนจะได้องค์ความรู้แบบจัดเต็มแน่นอนและพบกันปีหน้าคอนเสิร์ต 2025

พบกับคอนเสิร์ต TJ dance fever why tok 90 2025


คอนเสิร์ตร้องเล่นเต้นเป็นคู่พบกับศิลปินระดับซุปตาร์มากมายฝากติดตามช่อง TJ YouTube ทั้งสองผลงานได้เลย

📟เพจ https://www.facebook.com/TJdancestudio

🎥YouTube https://youtube.com/@tjdancestudio?si=Fix2IDr8VJwYlwqf

Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก