สคส. ตอกย้ำความมั่นใจภาครัฐ เอกชน และประชาชน ชูศูนย์ PDPA Center รับเรื่องร้องเรียน ช่วยแก้ไขปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ได้ตอกย้ำ “ศูนย์บริการรับเรื่องร้องเรียนและให้คำปรึกษาการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA Center” เป็นช่องทางเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ และดำเนินการยื่นเรื่องร้องเรียนด้านการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างรวดเร็ว และครบวงจร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการยื่นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมเสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นในกระบวนการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เปิดเผยว่า ตั้งแต่เปิดศูนย์ PDPA Center มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 823 เรื่อง แบ่งออกเป็น 12 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจธนาคาร ประกันภัย สินเชื่อเงินสด โทรคมนาคม ขนส่งและโลจิสติกส์ การขายของออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์ หน่วยงานภาครัฐ โรงพยาบาลและสาธารณสุข และด้านการวิจัย โดยประเภทที่มีจำนวนเรื่องร้องเรียนมากที่สุดคือ “ประเภทอื่น ๆ” จำนวน 347 เรื่อง ซึ่งส่วนมากเกี่ยวข้องกับกรณีประชาชนร้องเรียนกันเอง หรือร้องเรียนร้านค้าทั่วไปที่ไม่ใช่ช่องทางออนไลน์ รวมถึงกรณีร้องเรียนนิติบุคคลที่เป็นคอนโด หอพัก หรือเอกชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเภทอื่น ๆ

นอกจากนี้ PDPA Center ได้ดำเนินการพิจารณาและแก้ไขเรื่องร้องเรียนเสร็จสิ้นแล้ว 181 เรื่อง จากเรื่องร้องเรียนทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 21.99 โดยแบ่งเป็นการมีคำสั่งทางปกครองจำนวน 180 เรื่อง และการไกล่เกลี่ยจำนวน 1 เรื่อง ส่วนเรื่องที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเสนอให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณามีจำนวน 450 เรื่อง และอีก 192 เรื่องถูกจำหน่ายเนื่องจากเอกสารไม่ครบถ้วน

ศูนย์ PDPA Center ได้รับเรื่องร้องเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเดือนละ 5-10 เรื่อง ในบางเดือนพบการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกรณีที่มีผู้เสียหายหลายรายจากผู้ถูกร้องเรียนรายเดียวกัน สะท้อนถึงปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องการการคุ้มครองอย่างเข้มงวดมากขึ้น

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวต่ออีกว่า บทบาทของ PDPA Center ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่เพียงแต่เป็นจุดรับเรื่องร้องเรียนเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษา และแนะนำแนวทางปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงดำเนินการด้านการเสริมสร้างความเข้าใจในกฎหมาย PDPA และการปฏิบัติตามข้อกำหนดให้สอดคล้องกับกฎหมาย อีกทั้งเป็นตัวกลางในการแก้ไขข้อขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการให้คำแนะนำฉุกเฉินในกรณีที่เกิดการโจมตีทางไซเบอร์อีกด้วย

“และเพื่อเพิ่มช่องทางช่วยเหลือประชาชนในต่างจังหวัด สคส. ได้ขยายศูนย์บริการฯ ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ครอบคลุม 6 จังหวัด ในหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา นครสวรรค์ สงขลา และสมุทรปราการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางในการยื่นเรื่องร้องเรียน และให้คำปรึกษาด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแก่ประชาชนได้สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งศูนย์บริการนี้จะทำหน้าที่สำคัญในการสนับสนุนให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายอย่างถูกต้อง ทั้งยังสามารถจัดการเรื่องร้องเรียนได้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการเสริมสร้างการรับรู้ถึงสิทธิ และหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลในชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย” พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวทิ้งท้าย

ช่องทางการติดต่อ PDPC หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) 

โทร. 02 1118800

📞 กด 0 โอเปอเรเตอร์

📞 กด 1 ขอรับคำปรึกษาด้านกฎหมาย

📞 กด 2 เรื่องร้องเรียน

📞 กด 3 สอบถามเพิ่มเติมการแจ้งเหตุละเมิด

📞 กด 4 การเงิน บัญชี และพัสดุ

📞 กด 5  งานสารบรรณ

    Line ID: @pdpcthailand

💻  ส่งหนังสือราชการ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ดังนี้

📧  e-mail : saraban@pdpc.or.th 🌐 เว็บไซต์ : www.pdpc.or.th

#PDPC #PDPA #สคส #PDPACenter #ข้อมูลส่วนบุคคล


Share:

กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน เปิดตัว 40 ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ฝีมือดีจากทั่วประเทศ ร่วมชิงชัยรอบตัดเชือก การประกวดนักออกแบบผ้าไทยใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ ระดับประเทศ

ประกาศผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ การประกวดนักออกแบบผ้าไทยใส่ให้สนุกรุ่นใหม่   ประจำปี 2567 “New Gen Young Designer 2024” รอบชิงชนะเลิศ ระดับประเทศ เวทีในการ เฟ้นหาดีไซเนอร์หน้าใหม่จากทั่วประเทศ ให้ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในการออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นจากผืนผ้าไทยอันทรงคุณค่า ให้สามารถสวมใส่ได้อย่างสนุก สำหรับ ทุกเพศ ทุกวัย ในทุกโอกาสของชีวิตประจำวัน  ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ กระทรวงมหาดไทย โดย กรมการพัฒนาชุมชน ได้น้อมนำแนวพระดำริ  “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มาขับเคลื่อน  ในการพัฒนายกระดับคุณภาพ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2567 ณ สุราลัยฮอล์                 ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานในพิธี และนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมกล่าวเปิดงานแสดงแบบ “ชุดผ้าไทยใส่ให้สนุก” และมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวด พร้อมด้วย 

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบตัดเย็บ นายศิริชัย ทหรานนท์ นักออกแบบและเจ้าของแบรนด์ THEATRE คุณอารยา อินทรา ที่ปรึกษาด้านแฟชั่น อาจารย์พิเศษด้านแฟชั่น และสไตลิสต์   คณะกรรมการการตัดสินการประกวดฯ ระดับประเทศ ได้แก่ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางอรจิรา ศิริมงคล   ประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ดร.ศรินดา จามรมาน นักวิชาการอิสระด้านการจัดการความรู้และการศึกษา นายภูภวิศ  กฤตพลนารา  นักออกแบบเจ้าของแบรนด์ ISSUE ผศ.ดร.รวิเทพ มุสิกะปาน   ประธานหลักสูตรแฟชั่น สิ่งทอและเครื่องตกแต่ง วิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร      วิโรฒ อาจารย์ ดร.กรกลด คำสุข รองคณบดี ฝ่ายวิชาการและรักษาการแทน ผู้อำนวยการสำนักวิชาการสร้างสรรค์วิทยาลัยอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นายวิชระวิชญ์ อัครสันติสุข   นักออกแบบเจ้าของแบรนด์ WISHARAWISH และนายธนาวุฒิ ธนสารวิมล นักออกแบบเจ้าของแบรนด์ TANDT ร่วมด้วย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และอุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ตลอดจนดีไซเนอร์รุ่นใหม่จากทั่วประเทศ และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน

กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การประกวดนักออกแบบผ้าไทยใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ ระดับประเทศ (รอบ Final) เพื่อตัดสินผลงานการออกแบบตัดเย็บชุดผ้าไทยของผู้เข้าประกวด จำนวน 40 ราย/ทีม  ให้เหลือผู้ชนะ จำนวน 9 ราย/ทีม โดยพิจารณาจาก 1) แนวคิดและแรงบันดาลใจในการออกแบบสอดคล้องกับแนวคิด “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” 2) รูปแบบและความสวยงามของชุดที่ตัดเย็บ 3) ความประณีต และ คุณภาพของชุด และ 4) การนำเสนอผลงานของชุดที่ออกแบบตัดเย็บ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแฟชั่นโชว์  การแสดงแบบ “ชุดผ้าไทยใส่ให้สนุก” สุดยิ่งใหญ่ จากผลงานการออกแบบของ 40 ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ที่เข้าประกวดผ่านการสวมใส่ โดยนายแบบ นางแบบมืออาชีพ จำนวนทั้งสิ้น 40 คน  

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกนี้ เป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่พระองค์ท่านได้ทรงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้สินค้าที่ออกแบบโดยคนไทย หรือ 'ผ้าไทย' ได้ถูกประทับตราไว้ว่า "เราไม่เป็นที่สองรองใคร" ซึ่งทุกครั้งที่ตนได้มีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท จะไม่ทรงรับสั่งเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่อง "ผ้าไทย" เพราะพระองค์ท่านทรงฝากความหวังไว้กับพวกเราทุกคน   ในการที่จะจรรโลงรักษา สืบทอด ต่อยอด ให้ผ้าไทยซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทยเป็นที่แพร่หลายไม่เฉพาะ  ในประเทศไทยเท่านั้น แต่พระองค์ท่านทรงฝากความหวังไว้ว่า "จะต้องทำผ้าไทยของเราเป็นที่นิยมของ คนทั่วโลก" กระทรวงมหาดไทยจึงได้น้อมนำพระดำริและพระดำรัส มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ "คำว่า "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ตนได้รับพระราชทานคำอรรถาธิบายจากพระองค์ท่านว่า ไม่ใช่ชุดผ้าไทยแบบคอตั้งแขนยาวใส่แล้วร้อน แต่ผ้าไทย คือ ผ้าที่ทำจากผ้าคนไทย วัตถุดิบไทย   ดีไซเนอร์ไทย จะใส่เป็นเสื้อเชิ้ตก็ได้ ชุดซาฟารีก็ได้ เสื้อแจ็กเกตก็ได้ กระโปรงแบบญี่ปุ่นก็ได้ ออกเป็นเสื้อใส่ตามสบายก็ได้ แต่ขอให้เป็นผ้าไทย จนทำให้ตนเข้าใจแล้วว่า ผ้าไทยนั้นมีเอกลักษณ์ คือ วัสดุที่ผลิตขึ้นมาเป็นของไทย ดังนั้น พวกเราทุกคนถือว่าเป็นข้าทูลละอองพระบาทของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และเรามีเจ้านายที่ทรงทุ่มเทในเรื่องของผ้าไทยให้กับพวกเรา จึงเป็นความภาคภูมิใจและเป็นวาสนาอย่างยิ่งที่เราได้มีโอกาสรับสนองพระดำริพระองค์ท่าน ดังที่นายแบบและนางแบบทั้งหลายที่ได้สวมใส่ผ้าไทยจากการออกแบบโดยคนไทยมาเดินแบบในที่นี้ ทำให้เราได้เห็นความสวยงามของผ้าไทย รูปแบบการออกแบบตัดเย็บของ  ดีไซเนอร์ไทยมีความสวยงามจริง ๆ ตนอมยิ้มอยู่ในใจและภาคภูมิใจอยู่ในใจว่า เราใส่ผ้าแบรนด์หรูต่างประเทศมาเยอะแล้ว วันนี้เราเห็นคนต่างชาติที่เป็นนางแบบนายแบบมาใส่เสื้อผ้าไทยของเรา ดีไซน์ของเรา ดูแล้วไม่เห็นว่า ผ้าไทยสวยกว่าด้วยซ้ำ เข้ากับประเทศเมืองร้อนอย่างเรา ออกแบบดีไซน์มาอย่างมีสีสันตระการตา จึงอยากให้พวกเราทุกคนโดยเฉพาะลูก ๆ หลาน ๆ ได้มีความภาคภูมิใจ ไม่มีชุดไหนไม่สวยเลย สวยทุกชุด ดังนั้นเราต้องภูมิใจที่เราได้แสดงเอกลักษณ์ของประเทศไทยให้ต่างชาติได้ชื่นชม"

นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแสดงความชื่นชมบรรดานักออกแบบ ช่างตัดเย็บ ที่ตัดเสื้อผ้าให้มีความงดงามอย่างยิ่ง ตลอดถึงอาจารย์ที่ปรึกษา คณะกรรมการ แม้กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยทั้งในปัจจุบันและในอดีต ที่ได้ทุ่มเทเสียสละและทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น ซึ่งตนมั่นใจว่าเราจะสามารถทำให้ผ้าไทยของเราเป็นที่ยอมรับในทั่วโลกในระยะเวลาอีกไม่นานนี้ และตนขอมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการใช้ผ้าไทย                       ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ด้วยการใส่ผ้าไทย ใช้ผ้าไทย ให้ชาวบ้านของพวกเรามีรายได้ ให้เอกลักษณ์ของประเทศเราได้รับการยอมรับ ให้สินค้าของประเทศไทยของเราโดยเฉพาะ "ผ้าไทย" ได้ส่งออกสร้างรายได้ให้กับประเทศและประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเราจะยกระดับให้เพิ่มมากขึ้นด้วยความร่วมไม้ร่วมมือ น้อมนำพระปณิธานสู่การขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ ทำให้มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ใส่ใจ ใส่ฝีมือ ใส่สิ่งที่ดีที่สุดในเซลล์ของเรา ในเลือดของเรา เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีงาม เกิดเศรษฐกิจฐานรากที่มั่นคง พี่น้องประชาชนมีความสุขอย่างยั่งยืน

นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการผ้าไทยที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีแนวพระดำริ   "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมให้คนไทยทุกคนได้สวมใส่ผ้าไทยหลากหลายรูปแบบที่มี   ความทันสมัยสู่สากล เป็นที่นิยมในทุกเพศ ทุกวัย ทุกโอกาส โดยการสวมใส่ผ้าไทยได้ในทุกโอกาสนั้น รูปแบบของการออกแบบตัดเย็บที่สวยงาม และทันสมัย มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างความมั่นใจ    แก่ผู้สวมใส่ "การจัดประกวดนักออกแบบผ้าไทยใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ ระดับประเทศ ที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้ดำเนินการในครั้งนี้ จะนำไปสู่การพัฒนาเทคนิคการออกแบบตัดเย็บ และการผลิตชิ้นงานชุดผ้าไทยที่ร่วมสมัย เกิดการรังสรรค์การออกแบบตัดเย็บผืนผ้าไทยให้เป็นที่ต้องการของตลาด สอดคล้องกับแฟชั่นสมัยนิยม ตามแนวพระดำริ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" 

นางสาวซาบีดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณท่านผู้เชี่ยวขาญด้านผ้าไทยและการออกแบบตัดเย็บ ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ที่ได้ให้เกียรติมาเป็นคณะกรรมการตัดสินการประกวดในวันนี้ ขอขอบคุณ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้มีกิจกรรมที่ดีเช่นนี้เกิดขึ้น ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้กับผู้เข้าประกวด ทั้ง 40 ราย และคาดหวังว่าทุกท่านจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเป็นนักออกแบบตัดเย็บผ้าไทยหรือดีไซเนอร์ผ้าไทยที่มีชื่อเสียง สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล อันจะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ เกิดความเข้มแข็งของวงจรเศรษฐกิจต่อไป

นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดการประกวดนักออกแบบผ้าไทยใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ ตามโครงการนักออกแบบผ้าไทยใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2567 (New Gen Young Designer 2024) เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้า 

เครื่องแต่งกาย นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ศึกษาหลักสูตรแฟชั่นดีไซน์ และประชาชนที่สนใจและมีใจรัก ด้านการออกแบบตัดเย็บผ้าไทยทั่วทุกภาคของประเทศได้มีพื้นที่ในการแสดงผลงาน โดยได้คัดเลือกตัวแทนผู้เข้าประกวดจากทั่วประเทศจำนวน 285 ราย ให้เหลือจำนวน 40 ราย เพื่อเข้าประกวดในระดับประเทศ

ในวันนี้ และคาดหวังว่าโครงการนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ทุกท่านมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเป็นนักออกแบบตัดเย็บผ้าไทยหรือดีไซเนอร์ผ้าไทยที่มีชื่อเสียงในอนาคต เพื่อสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล อันจะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างายได้ เกิดความเข้มแข็งของวงจรเศรษฐกิจต่อไป"

สำหรับผู้ชนะเลิศการประกวดนักออกแบบผ้าไทยใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ (New Gen  Young Designer 2024) โดยผู้ที่ชนะการประกวดฯ ตำแหน่งต่าง ๆ ประกอบด้วย 

รางวัลชนะเลิศ นายรุจ กล้ำศรี ได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท พร้อมจักรเย็บผ้า และ iPad จำนวน 1 เครื่อง , 

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายนูรดีน แวกะจิ จากกลุ่มทำผ้าค่ายสิรินธร ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท 

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 นางสาวธนัชพร วรธงไชย ได้รับเงินรางวัล 75,000 บาท และ   

รางวัลชมเชย จำนวน 6 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท ได้แก่ นายนภัต ตันสุวรรณ, นางสาวมยุรี แซ่ท้าว, นายภาวิต ประวัติ, นางสาวชนาธินาถ ไชยภู, นายรัฐพล ทองดี และ นายอนาวิล ทองน้อย

Share:

จบไปแล้วกับงานโยคะครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ Thailand Yoga Art & Dance ปี 2567 ซึ่งจัดเป็นปีที่ 8 ในวันที่ 25-27 ตุลาคม 2567 ที่ โรงแรมเดอะซายน์ พัทยา – นาเกลือ

ปีนี้ ทุกคนเต็มอิ่มกับกิจกรรมมากมายทั้งใน Indoor และ Out door ทั้งคลาสโยคะบนบก และ  ในน้ำ Aqua Yoga  , คลาสเต้นทุกรูปแบบ ,คลาสฟิสเนต ,คลาสทำกับข้าว yoga Fly , Sup Yoga, Stand up Paddle Board, บำบัดด้วยน้ำแข็ง (Ice Bath), พอกโคลนจากเนปาล,  Singing Bowl   คลาสกลองบำบัด   คลาสโยคะหัวเราะ  โยคะหน้า  และอีกหลากหลายหลาส จัดเต็มถึง 117 คลาสใน 3 วัน กับ 11 ห้องเรียน จากครูผู้สอน 66 ท่าน ทั่วโลก   

งานนี้มีคนเข้าร่วมจำนวน 1020 คน จาก 13 ประเทศ อาทิเช่น เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงค์โปร์ เวียดนาม ไต้หวัน จีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อเมริกา  เบลเยี่ยม ฮ่องกง และไทย  งานนี้ จัดขึ้นโดยบริษัท เมคเฟรนส์ ฟอร์ยู จำกัด และได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน อาทิเช่น เมืองพัทยา  ททท เมืองพัทยา  สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฯ  AIA VAtality   True Corporation   บุญรอด บริวเวอร์รี่  vannesse   

พบกับกิจกรรมโยคะดีๆ เช่นนี้ในงาน Thailand Yoga Art & Dance ที่พัทยา   วันที่ 31 ต.ค -2 พ.ย 2568 

สอบถามเพิ่มเติม : Line Official : makefriendsforu/Page:thailandyogaart&dance/IG:thailand_yogaartanddance

The biggest yoga event, Thailand Yoga Art & Dance 2024 has ended, which will be held for the 8th year on 25-27 October 2024 at The Zign Hotel Pattaya - Na Kluea. This year, everyone was full of activities. Plenty both indoor and outdoor. There are yoga classes on land and in water- Aqua Yoga , all types of dance classes, fitness classes, cooking classes, yoga Fly, Sup yoga, stand up paddle board, Ice Bath, Mud Therapy, Singing Bowl, therapy drum classes.   Laughter Yoga, Facial Yoga and many more classes, complete with 117 classes.in 3 days with 11 classrooms from 66 teachers around the world, the event was attended by 1020 people from 13 countries including Korea, Japan, Malaysia, Singapore, Vietnam, Taiwan, China, Philippines, Indonesia, America, Belgium, Hong Kong and Thailand. This event was organized by Make Friends For U Co.,Ltd and received cooperation and support from both the government and private sectors such as Pattaya City, TAT- Pattaya , Tourism Industry Council, AIA Vatality, True Corporation, Boon Rawd,  Vanesse   

Meet great yoga activities like this at the Thailand Yoga Art & Dance event in Pattaya, next year on 31 Oct. - 2 Nov. 2025.  

More info:  Line Official : makefriendsforu/Page:thailandyogaart&dance/IG:thailand_yogaartanddance

Share:

"สถาบันมรดกสยามเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต" โดยท่านชายวัชเรศร วิวัชรวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยตลอดจนทุกชาติพันธุ์

ท่านชายวัชเรศร วิวัชรวงศ์ มีดำริร่วมกับผู้อาวุโสและคนรุ่นใหม่ ประสานทุกรุ่นวัย ให้จัดตั้ง 📜"สถาบันมรดกสยามเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต"🔭 โดย ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และให้ นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ทำหน้าที่ประธานสถาบันฯ โดย รวบรวมบุคคลากรทุกรุ่นวัยทุกองคาพยพ ทุกภาคีเครือข่ายเเห่งภาคประชาสังคม รัฐ เอกชน เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยตลอดจนทุกชาติพันธุ์ภายใต้พระบรมโพธิสมภารภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในลักษณะของการดำเนินกิจการงาน 'สืบสาน รักษาเเละต่อยอด' โดยน้อมนำพระราโชบายในรัชกาลที่ 9 สืบสานถึง รัชกาลบัจจุบัน ตลอดจนราโชบายของบูรพกษัตริย์เเห่งสยามทุกพระองค์ มาสืบสานร่วมสมัย ผ่านขบวนการการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผ่านหลักพื้นฐานแห่ง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม(STI) ของศาสตร์ตามเเขนงต่างๆ 
เพื่อก้าวข้ามการจำกัดด้วยเงื่อนไขของกฎเกณฑ์ ระเบียบ หรืองบประมาณที่ระบบราชการไม่สามารถดำเนินการได้ทันที จนเป็นเหตุให้การแก้ไขปัญหาไม่สอดคล้อง หรือทันกับสถานการณ์ที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องกระทำโดยเร็ว การที่สถาบันมรดกสยามฯ เข้ามาดำเนินการเช่นนี้ หวังจะส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรงอย่างแท้จริง รวดเร็วฉับพลัน โดยไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น อาจกล่าวได้ว่าการดำเนินงานของสถาบันมรดกสยามฯ เป็นการช่วยให้กระบวนการต่างๆเกิดความสมบูรณ์เเละรวดเร็วยิ่งขึ้น

โดยมีวัตถุประสงค์และเป้าหมาย คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างคนไทยกับมรดกของชาติในทุก ๆ ด้าน ร่วมสร้างผู้ดูแลรุ่นใหม่ ผ่านขบวนการต่าง ๆ เพื่ออนาคตของลูกหลาน โดยนำประวัติศาสตร์มารับใช้ปัจจุบันและอนาคต 

ผ่านขบวนการขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจปากท้อง สังคมน่าอยู่ และการดำเนินชีวิตประจำวัน อย่างพอเพียงและเป็นสุข

****************

Share:

“AI Thailand Forum 2024” เวทีรวมพลังครั้งใหญ่ รัฐ-เอกชน ปฏิวัติตลาด AI ไทย พลิกโฉมสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

มหกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย "AI Thailand Forum 2024" ภายใต้แนวคิด “Sustainable Growth with AI” ที่จะมุ่งเน้นการใช้ AI ในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งได้รวบรวมผู้เล่นหลักในตลาด AI ทั้งจากภาครัฐและเอกชนเพื่อแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย AI เรียกได้ว่างานนี้เป็นมากกว่าแค่เวทีสัมมนา แต่เป็นจุดเชื่อมโยงพลังของภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักนวัตกรรมทั่วประเทศ เพื่อผลักดัน AI ให้เป็นเครื่องยนต์หลักในการสร้างเศรษฐกิจไทยในยุคใหม่ โดยได้รับเกียรติจาก น.ส.สุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน จัดโดย สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT)  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX)   กสิกร บิซิเนส เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ซึ่งพร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในภูมิภาค ณ สามย่านมิตรทาวน์ เมื่อเร็วๆ นี้ 


งานนี้ หัวใจสำคัญคือการบรรยาย-เสวนา ความรู้ด้านAI ภายใต้แนวคิด “Sustainable Growth with AI” โดยเน้นการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจหลัก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต รวมถึงการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ไทยกลายเป็นฮับแห่งนวัตกรรม และมีการออกบูธ จากบริษัท และหน่วยงานชั้นนำ และการประกาศผลมอบรางวัล Super AI Engineer  ที่พัฒนาบุคลากร AI ชั้นแนวหน้า เพื่อเพิ่มศักยภาพการพัฒนานวัตกรรมของไทยในตลาดโลก พร้อมการจัดแสดงผลงานกว่า 32 โปรเจกต์ในงาน

ส่วนบรรยากาศในงานมีไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ พิธีมอบเหรียญรางวัล แก่ผู้สำเร็จโครงการพัฒนากำลังคนด้าน AI ที่จะเข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรมหลักของไทย ได้แก่ การแพทย์ พลังงาน การเงิน และอุตสาหกรรมดิจิทัล การแข่งขันนำเสนอแผนธุรกิจ Startup ด้าน AI จากไอเดียสู่ธุรกิจจริง อีกทั้งมีการจัดนิทรรศการเทคโนโลยี AI นำเสนอความก้าวหน้าล่าสุดจากบริษัทชั้นนำ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว 

สำหรับ ภายในงานยังมีเวทีเสวนาเชิงลึก ที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก มาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการนำ AI มาปรับใช้ในธุรกิจและการพัฒนาประเทศไทยให้แข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมีหัวข้อสำคัญคือ "Trustworthiness Day - Korea-Thailand TRAIN Workshop"   โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากเกาหลีและไทยมาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ผ่านการบรรยายหลายหัวข้อ อาทิ มาตรฐาน AI โดยองค์กรรับรองจากบุคคลที่สาม การตรวจสอบความเอนเอียงของข้อมูล และการพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ผู้เข้าร่วมจะได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยและเป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติ 

ทั้งนี้ ยังมีกิจกรรมเวิร์กชอปที่น่าสนใจมากมาย เช่น Workshop : AI-Powered Data Insights Course เรียนรู้การใช้ Generative AI เพื่อยกระดับการวิเคราะห์และการแปรผลข้อมูล ซึ่งช่วยให้ธุรกิจและงานของคุณมีโอกาสเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ คอร์สนี้จะเน้นการใช้ AI ในการเตรียมข้อมูล การวิเคราะห์ และการสร้างข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า  จัดโดยสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย 

ต่อมา Workshop : Crafting Stories & Presentation with Generative AI สร้างเรื่องราวและการนำเสนอด้วย Generative AI ลดเวลาการเตรียมเนื้อหาและเอกสารสำหรับการนำเสนอของคุณด้วยพลังของ Generative AI เรียนรู้วิธีการใช้ AI ในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้คุณนำเสนอความคิดและข้อมูลของคุณอย่างมืออาชีพได้ในเวลาที่น้อยลง คอร์สนี้จะเน้นเทคนิคการเขียนคำสั่งสำหรับสร้างคอนเทนต์ พร้อมกับการนำคอนเทนต์นั้นมาจัดทำเอกสารการนำเสนอภายในเวลาเพียง 5 นาที! จัดโดยสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม AI Hunt  ให้ผู้ที่สนใจความรู้เกี่ยวกับ AI ในด้านต่างๆ มาตามหาผีเสื้อ AI ของเราทั่วงาน แล้วสแกนรับความรู้ในเรื่องราวต่างๆ จากผีเสื้อน้อย  จากนั้นนำความรู้ที่ได้มาแสดงกับเจ้าหน้าที่ ชิงรางวัลคอร์สเรียนออนไลน์ มูลค่ารางวัลละ 9,000 บาท จาก AIEAT  กว่า 100 รางวัล 

งานนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการขับเคลื่อนตลาด AI ของไทย แต่ยังเป็นการวางรากฐานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีในภูมิภาค เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ในทุกภาคส่วน

#AITF2024 #AIเพื่อความยั่งยืน #AIไทยสู่เวทีโลก #AIพลิกโฉมอนาคต 

#AIเพื่อการเติบโต #AIไทยเพื่อทุกคน

Share:

พม. จับมือภาคีภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมขับเคลื่อนอนาคตที่อยู่อาศัย สร้างชุมชนอย่างยั่งยืน

วันนี้ (28 ตุลาคม 2567) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย (International Conference on Sustainable Communities for All) ภายใต้โครงการส่งเสริมภาพลักษณ์ และแสดงบทบาทด้านการพัฒนาเมือง มิติที่อยู่อาศัยชุมชนแออัดผู้มีรายได้น้อยของประเทศไทยในเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ (Urban Renaissance: Empowering Thailand's Low-Income Communities on the Global Stage)  โดยมีนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก กรุงเทพมหานคร 

การจัดงานครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีในการนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ในด้านการพัฒนาเมือง และที่อยู่อาศัย รวมถึงการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดผู้มีรายได้น้อย สำหรับประเทศไทยและประเทศในเอเชียและแปซิฟิก ตลอดจนเพื่อยกระดับกระทรวง พม. ให้มีบทบาทเชิงรุกในด้านการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักการขับเคลื่อนวาระใหม่แห่งการพัฒนาเมือง (New Urban Agenda) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 11 เป้าหมายย่อยที่ 11.1 ของประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ด้งนี้ ผู้แทนจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชน และเมือง จากประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และผู้เข้าร่วมการประชุมภายในประเทศ ได้แก่ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. และเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชน และเมือง จากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมในประเทศไทย 

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ กล่าวว่า "การประชุมในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ร่วมเฉลิมฉลอง Urban October และวันเมืองโลก (World Cities Day) ในวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งปีนี้มุ่งเน้นถึงบทบาทของเยาวชนในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เพื่อสร้างเมืองที่ยั่งยืนและครอบคลุมสำหรับทุกคน วันนี้ยังถือเป็นโอกาสอันดีที่พันธมิตรจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยเรื่อง “ที่อยู่อาศัย” ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิตและรากฐานสำคัญของความมั่นคง ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของประชาชน การพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เข้าถึงได้สำหรับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง   จึงเป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน หรือยุค VUCA World ทั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งทำให้ความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยมีความสำคัญอย่างยิ่ง และจากรายงานของสหประชาชาติที่ชี้ว่าประชากรกว่า 1.8 พันล้านคนทั่วโลกยังขาดแคลนที่อยู่อาศัยที่มั่นคง รวมถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เผชิญกับการเติบโตของประชากรในเมืองอย่างรวดเร็ว กระทรวง พม. จึงดำเนินนโยบายพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว เพื่อให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและปลอดภัย ตามเป้าหมาย “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายในปี 2579”

การประชุมในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศต่าง ๆ จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมือง เรามาร่วมมือกันเพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยสำหรับทุกคน ผมขอเชิญชวนให้ทุกท่านร่วมอภิปรายและแบ่งปันความคิดเห็นเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ทุกคนมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและชุมชนที่ยั่งยืน"

นอกเหนือจากนี้ ผู้เข้าร่วมประชุม ยังได้รับฟังสาสน์จาก UN-Habitat เนื่องในโอกาส World Habitat Day และ Urban October การอภิปรายและการบรรยายโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ การอภิปรายโดยผู้แทนเยาวชน การประชุมเต็มคณะเพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเมือง และที่อยู่อาศัยโดยคณะผู้แทนจากประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก การศึกษาดูงานเกี่ยวกับการฟื้นฟูและพัฒนาชุมชนเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งมีการนำเสนอวิดีทัศน์และการจัดนิทรรศการเพื่อนำเสนอถึงสถานการณ์ แนวโน้ม และยุทธศาสตร์ แผนงาน นโยบาย และมาตรการที่สำคัญของประเทศไทย โดยกระทรวง พม. ในการรับมือกับวิกฤติการณ์และข้อท้าทายต่าง ๆ ซึ่งที่สำคัญได้แก่ “นโยบาย 5X5 ฝ่าวิกฤตประชากร” ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของกระทรวง พม. ที่มุ่งเน้นรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรด้วยการเชื่อมโยงและบูรณาการกับทุกองคาพยพในสังคมเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวและการจัดหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้สำหรับทุกกลุ่ม    

สำหรับการนำผลลัพธ์จากการประชุมระหว่างประเทศในครั้งนี้ไปขยายผล ผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถนำแนวปฏิบัติที่ดีและแนวทางเชิงนวัตกรรมไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปเผยแพร่และขยายผลในการประชุม World Urban Forum ครั้งที่ 12 ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในระดับโลกที่เปิดโอกาสให้ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ได้แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในด้านการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัย รวมถึงร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง 

Share:

บ้านคู่บุญครีเอชั่น รีจูเน่คอลลาเจน www.citynewsthai.com และ คณะสื่อมวลชน พาร่วมทำนุบำรุงศาสนา กฐินไตรเอก วัดห้วยติ่งธารทอง จ.สุโขทัย

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567 บริษัท บ้านคู่บุญ ครีเอชั่น จำกัด  โดย คุณสุภัคสิณี ถิ่นอนุรักษ์  และ คุณจตุรภัทร เหล่ารบ ประธานองค์กฐิน และ คุณพรภัทรชยากร สุขแซม รีจูเน่ คอลลาเจน  คุณขวัญกันทรลักษ์  พลเยี่ยม รองบรรณาธิการบริหาร คุณจงกล จันทรสมัย คุณเวณิกา รัตนเพ็ชร คุณนัชชา เพ็ญศรี พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชน เป็นประธานอุปถัมภ์องค์กฐิน ร่วมทอดกฐิน ณ วัดห้วยติ่งธารทอง ตำบล ดงคู่ อำเภอ ศรีสัชนาลัย จังหวัด สุโขทัย ซึ่งภายในงานมีประชาชนทั้งในพื้นที่และใกล้เคียงมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง 

โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสมทบทุนในการก่อสร้าง สร้างศาลาหอสวดมนต์ ให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อเป็นที่ประกอบศาสนกิจของพระภิกษุสามณร และพุทธศาสนิกชนชาวพุทธ และมีการออกโรงทาน อาทิ ซีพีแรม นำ ขนมจีบ ซาลาเปา ขนมปัง และ จ่าวิรัช ฟู้ด นำน้ำปลาร้า น้ำพริก แจกจ่ายให้รับประทานฟรี กว่า 300 ชุด

สำหรับวัดห้วยติ่งธารทอง ตำบลดงคู่ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ถือเป็นวัดประจำชุมชนและ เป็นวัดที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านมาเป็นเวลาช้านาน และยังให้ความร่วมมือในการทำนุบำรุงศาสนาอยู่ประจำ ทั้งในวันธรรมดาและวัดพระ รวมถึงวัดพระใหญ่และงานเทศกาลกฐินประจำปี ซึ่งงานบุญกฐินถือว่าเป็นงานบุญใหญ่ของชาวพุทธ ที่จะมาร่วมกันทำนุบำรุงศาสนา และวัดต่างๆ ก็มีประชาชนมาร่วมเป็นองค์เจ้าภาพกฐิน จัดงานเพื่อให้ประชาชนมาร่วมกฐินถวายวัดกัน โดยจะเริ่มจัดตั้งเดือนตุลาคม หลังวันออกพรรษา ไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคมของทุกปี

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านประสพแต่ความสุขความเจริญ ด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ สัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่ พึงปราถนาทุกประการฯ

Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก